พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 274 หน้า 210-211 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
กายานุปัสสนา
อานาปานบรรพ
- [ ๒๗๔ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ
อยู่ อย่างไรเล่า
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ไปแล้วสู่ป่าก็ดี ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ดี ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์
( ขัดสมาธิ ) ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติหายใจเข้าย่อมมีสติหายใจออก
เมื่อหายใจเข้ายาว
ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า
เราหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเป็นผู้กำหนด
รู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร ( คือลมหายใจเข้าและหายใจออก
) หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด
นายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ฉลาด เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า
เราชักเชือกกลึงยาว หรือเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้น
นั่นแหละ เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว
ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า
เราหายใจออกสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง
หายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลม
หายใจทั้งปวง หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักระงับกาย
สังขาร หายใจออก ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย
เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเกิด
ขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ
ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียง
สักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ
อยู่อย่างนี้
จบข้อกำหนดว่าด้วยลมหายใจเข้าออก
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 292-298 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
อานาปานบรรพ
- คำว่า ภิกษุไปป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี
ไปยังเรือนว่างก็ดี นี้ เป็นเครื่องแสดงการกำหนดเอาเสนาสนะ
อันเหมาะสมแก่การเจริญสติปัฏฐาน ของภิกษุนั้น เพราะจิตของเธอซ่านไปในอารมณ์ทั้งหลาย
มีรูปเป็นต้น
มานาน ย่อมไม่ประสงค์จะลงสู่วิถีแห่งกัมมัฏฐาน คอยแต่จะแล่นออกนอกทางท่าเดียว
เหมือนเกวียนที่เทียม
ด้วยโคโกงฉะนั้น เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้จะเจริญสติปัฏฐานนี้ ประสงค์จะทรมานจิต
ที่ร้าย ที่เจริญมาด้วยการดื่มรส
มีรูปารมณ์เป็นต้น มานาน พึงพรากออกจากอารมณ์เช่น รูปารมณ์เป็นต้น แล้วเข้าไปสู่ป่าก็ได้
โคนไม้ก็ได้ เรือนว่าง
ก็ได้ แล้วเอาเชือกคือสติผูกไว้ที่หลัก คืออารมณ์ของสติปัฏฐานนั้น จิตของเธอนั้นแม้จะดิ้นรนไปทางนั้น
ทางนี้
เมื่อไม่ได้อารมณ์ที่คุ้นเคยมาก่อน ไม่อาจตัดเชือก คือสติให้ขาดแล้วหนีไปได้ก็จะแอบแนบสนิทเฉพาะอารมณ์นั้น
อย่างเดียว ด้วยอำนาจอุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา เหมือนอย่างคนเลี้ยงโค ต้องการจะทรมานลูกโคโกง
ที่ดื่มนมแม่โคโกงจนเติบโต พึงพรากมันเสียจากแม่โค แล้วปักหลักใหญ่ไว้หลักหนึ่ง
เอาเชือกผูกไว้ที่หลักนั้น
ครั้งนั้นลูกโคของเขานั้น ก็จะดิ้นไปทางโน้นทางนี้ เมื่อไม่อาจจะหนีไปได้ ก็หมอบ
หรือนอนแนบหลักนั้นนั่นแล
ฉะนั้น เหตุนั้น พระโบราณจารย์จึงกล่าวว่า
- ยถา ถมฺเภ นิพนเธยฺย วจฺฉํ
ทมํ นโร อิธ พนฺเธยฺเยวํ สกํ จิตฺตํ สติยารมฺมเณ ทฬฺหํ
- นรชนในพระศาสนานี้ พึงผูกจิตของตนไว้ในอารมณ์ให้มั่นด้วยสติ
เหมือนคนเลี้ยงโค
เมื่อจะฝึกลูกโค พึงผูกมันไว้ที่หลักฉะนั้น
- เสนาสนะนี้ ย่อมเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานนั้น
ด้วยประการฉะนี้ เพราะ
ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า คำนี้ เป็นเครื่องแสดงการกำหนดเสนาสนะอันเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐาน
ของภิกษุ
นั้นดังนี้
เสนาสนะที่เหมาะแก่การเจริญอานาปานสติ
- อีกอย่างหนึ่ง เพราะพระโยคาวจรไม่ละ
ละแวกบ้านอันอื้ออึงด้วยเสียงหญิงชาย ช้างม้าเป็นต้น จะบำเพ็ญ
อานาปานสติกัมมัฏฐาน อันเป็นยอดในกายานุปัสสนา เป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุคุณวิเศษ
และธรรมเครื่อง
อยู่เป็นสุขในปัจจุบันของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งปวงนี้ให้สำเร็จ
ไม่ใช่ทำได้โดยง่าย
ๆ เลย เพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก แต่พระโยคาวจร กำหนดกัมมัฏฐานนี้แล้ว ให้จตุตถฌาน
มีอานาปานสติเป็น
อารมณ์ เกิดขึ้นทำฌานนั้นนั่นแล ให้เป็นบาท พิจารณาสังขารทั้งหลาย แล้วบรรลุพระอรหัต
ซึ่งเป็นผลอันยอดจะ
ทำได้ง่าย ก็แต่ในป่าที่ไม่มีบ้าน ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะอันเหมาะแก่ภิกษุโยคาวจรนั้น
จึงตรัสว่า อรุญฺญ คโต วา ไปป่าก็ดี เป็นต้น
- ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนอาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิ
อาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิ เห็นพื้นที่ควรสร้างนครแล้ว
ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว ก็ชี้ว่า ท่านทั้งหลายจงสร้างนครตรงนี้ เมื่อเขาสร้างนครเสร็จ
โดยสวัสดีแล้ว ย่อมได้
รับลาภสักการะอย่างใหญ่ จากราชสกุล ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็ฉันนั้นทรงใคร่ครวญถึงเสนาสนะอัน
เหมาะแก่พระโยคาวจรแล้วทรงชี้ว่า เสนาสนะตรงนี้ พระโยคาวจรควรประกอบกัมมัฏฐานเนืองๆ
ต่อแต่นั้น
พระโยคีเจริญกัมมัฏฐานเนืองๆ ในเสนาสนะนั้น ได้บรรลุพระอรหัตตามลำดับย่อมทรงได้รับสักการะอย่างใหญ่ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ จริงหนอ
- ก็ภิกษุนี้ท่านกล่าวว่า เป็นเช่นเดียวกับเสือเหลือง
เหมือนอย่างพระยาเสือเหลืองขนาดใหญ่อาศัยพงหญ้าป่า
ชัฎ หรือเทือกเขาในป่า ซ่อนตัวคอยจับหมู่มฤค มีกระบือป่า ละมั่ง หมูป่า เป็นต้น
ฉันใด ภิกษุนี้ผู้เพียรประกอบ
เนืองๆ ซึ่งกัมมัฏฐานในป่าเป็นต้น ย่อมถือเอาซึ่งมรรค ๔ และอริยผล ๔ ได้ตามลำดับฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะ
เหตุนั้น พระโบราณจารย์จึงกล่าวว่า
- ยถาปิ ทีปืโก นาม นิลียิตฺวา
คณฺหตี มิเค ตเถวายํ พุทฺธปุตฺโต ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก อรญฺญํ
ปวิสิตฺวาน คณฺหติ ผลมุตฺตมํ
- อันเสือเหลืองซ่อนตัวคอยจับหมู่มฤคฉันใด
ภิกษุผู้เป็นพุทธบุตรนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เข้าไปสู่ป่าแล้ว ประกอบความเพียร เป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง ( เจริญวิปัสสนา )
ย่อมถือไว้ได้ซึ่ง
ผลอันสูงสุดได้
- เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะป่า อันเป็นภูมิที่เหมาะแก่ชวนะปัญญา
( กุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก ) อันเป็นเครื่องบากบั่นของพระโยคาวจรนั้น
จึงตรัสว่า
อรญฺญคโตวา ไปป่าก็ดี เป็นต้น
- ต่อแต่นี้ไป ก่อนอื่น คำที่กล่าวควรจะกล่าวในอานาปานบรรพนี้
ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วทั้งนั้น
กำหนดลมอัสสาสะปัสสาสะ ( ลมหายใจเข้า-ออก
)
- ก็คำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายช่างกลึง
หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน ( การกลึงใน
สมัยพุทธกาลใช้เชือกในการชักแกนที่จับวัตถุที่ต้องการจะกลึงให้หมุน แล้วใช้ไบมีดจ่อเพื่อกลึงวัตถุที่หมุนนั้น
แต่ปัจจุบันใช้มอเตอร์ในการหมุนแกน ) นี้เป็นเพียงอุปมาเท่านั้น คำว่า ในกายภายใน
ก็ดีนี้เป็นเพียงอัปปนา
เท่านั้น แต่อัปปนานั้นก็ย่อมไม่มาในคำนั้น มาแต่อุปจารกัมมัฏฐานที่เหลือ แต่ก็ยังมาไม่ถึง
คำว่าผู้ขยัน หมายถึง
ผู้ฉลาด ( ผู้ชำนาญ ) คำว่า ชักเชือกกลึงยาวก็ดี ความว่า เหยียดมือ เหยียดเท้า
ชักเชือกยาวในเวลากลึง
กลองช่องพิณเป็นต้น ซึ่งเป็นของใหญ่ ชักเชือกกลึงสั้นก็ดี ความว่า ชักเชือกกลึงสั้นๆ
ในเวลากลึงของเล็กๆ
น้อยๆ เช่นงา และลิ่มสลักเป็นต้นคำว่า ฉันนั้นเหมือนกันแล ความว่า แม้ภิกษุนี้
ก็ฉันนั้น เมื่อหายใจเข้ายาว
ที่เป็นโดยระยะยาว และระยะสั้นก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว ฯลฯ คอยสำเหนียกอยู่ว่า
เราหายใจออกยาวดังนี้
เมื่อเธอสำเหนียกอยู่อย่างนี้ ฌาน ๔ ย่อมเกิดในนิมิตแห่งลมหายใจเข้า-ออก เธอออกจากฌานแล้ว
จะกำหนด
ลมหายใจเข้า-ออก หรือ องค์ฌานได้
- ในการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ภิกษุประกอบกัมมัฏฐาน
ในลมหายใจเข้า-ออก ย่อมกำหนดรูปอย่างนี้ว่า
ลมหายใจเข้า-ออก เหล่านี้ อาศัยกรัชกาย ( ร่างกาย, กายที่เกิดจากธุลี ) ชื่อว่าวัตถุ
มหาภูตรูป ๔ กับ
อุปาทายรูป ชื่อว่า กรัชกาย ต่อแต่นั้น จึงกำหนดในนามธรรม ซึ่งมีผัสสะเป็นที่
๕ ( ๑.เวทนา ๒. สัญญา
๓.เจตนา ๔.วิญญาณ ๕.ผัสสะ ) มีรูปนั้นเป็นอารมณ์ ครั้นกำหนดนามรูปอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว
ค้นหา
ปัจจัย แห่งนามรูปนั้นอยู่ เห็นปฏิจสมุปบาทมีอวิชชาเป็นต้นแล้ว ข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ว่านี้เป็นเพียง
ปัจจัย และธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์หรือบุคคล ตัวตน จึงยกนามรูปกับทั้งปัจจัย
ขึ้นสู่ไตรลักษณ์
เจริญวิปัสสนาอยู่ ย่อมบรรลุอรหัตโดยลำดับ นี้เป็นทางปฏิบัติออกจากทุกข์จนถึงพระอรหัตของภิกษุรูปหนึ่ง
- ภิกษุผู้เจริญกัมมัฏฐาน กำหนดนามรูปว่า องค์ฌานเหล่านี้อาศัยอะไร
อาศัยวัตถุรูป กรัชกายชื่อว่า
วัตถุรูป องค์ฌานจัดเป็นนาม กรัชกายจัดเป็นรูป เมื่อจะแสวงหาปัจจัยแห่งนามรูปนั้น
จึงเห็นปัจจยาการ
( อาการที่เป็นปัจจัยแก่กัน คือ ปฏิจจสมุปบาท ) มีอวิชชาเป็นต้น จึงข้ามความสงสัยเสียได้ว่า
นี้เป็นเพียงปัจจัย
และธรรมอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน จึงยกนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยขึ้นสู่ไตรลักษณ์
เจริญวิปัสสนา
บรรลุพระอรหัตโดยลำดับ นี้เป็นมุขของการออกจากทุกข์จนถึงพระอรหัตของภิกษุรูปหนึ่ง
- คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํวา ในกายภายใน ความว่า
พิจารณาเห็นกายในกาย คือลมหายใจเข้า-ออกของตนอยู่
อย่างนี้ คำว่า หรือ ภายนอก ความว่า หรือพิจารณาเห็นกายในกาย คือลมหายใจเข้า-ออกของคนอื่น
อยู่ คำว่า
ทั้งภายในทั้งภายนอก ความว่า หรือในกายคือ ลมหายใจเข้า-ออกของตนตามกาล
ของคนอื่นตามกาล ด้วยคำนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส กาลที่ภิกษุนั้นไม่หยุดกัมมัฏฐานที่คล่องแคล่ว ให้กาย
คือลมหายใจเข้า-ออก สัญจรไป
มาอยู่ ก็กิจทั้งสองนี้ ย่อมไม่ได้ในเวลาเดียวกัน
- คำว่า พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิด ความว่า
ลมอาศัยสูบของช่างทอง ๑ ลูกสูบ๑ ความพยายาม
อันเกิดแต่ลูกสูบนั้น ๑ จึงจะสัญจรไปมาฉันใด กาย คือลมหายใจเข้า-ออกก็อาศัยกรัชกาย
๑ ช่องจมูก ๑ จิต ๑
ของภิกษุ จึงหายใจเข้า-ออกได้ฉันนั้น ภิกษุเห็นธรรมมีกายเป็นต้น ซึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา
ท่านเรียกว่า
พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดในกาย คำว่า พิจารณาธรรม คือความเสื่อมก็ดี ความว่า
เมื่อสูบถูกนำออก
ไปแล้ว เมื่อลูกสูบแตกแล้ว เมื่อความพยายามอันเกิดแต่ลูกสูบนั้น ไม่มี ลมนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันใด
เมื่อกายแตก
แล้ว เมื่อช่องจมูกถูกกำจัดเสียแล้ว และเมื่อจิตดับแล้ว ชื่อว่ากาย คือลมหายใจเข้า-ออก
ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉันนั้น
เหมือนกัน ภิกษุเห็นอยู่อย่างนี้ว่า ลมหายใจเข้า-ออกดับ เพราะกายเป็นต้นดับ ดังนี้
ท่านเรียกว่าพิจารณาธรรม
คือ ความเสื่อมในกาย คำว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิด และความเสื่อม
หมายความว่า พิจารณาเห็น
ความเกิดตามกาล ความเสื่อมตามกาล
- คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่ากายมีอยู่ ความว่า
สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า กายแลมีอยู่
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์ ท่านอธิบายว่า
สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อ
ประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ
ขึ้นไป และประมาณ
แห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า ไม่ถูก
กิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ
ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
อานาปานสติเป็นอริยสัจ ๔
- ในอานาปานบรรพนั้น สติที่กำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นอารมณ์เป็นทุกข์สัจ
ตัณหามีในก่อนอันยังทุกขสัจ
นั้นให้ตั้งขึ้นเป็นสมุทัยสัจ ความไม่เป็นไปแห่ง สัจจะทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ (
พระนิพพาน ) อริยมรรคที่กำหนด
รู้ทุกขสัจ ละสมุทัยสัจมีนิโรธสัจเป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายด้วยอำนาจ
สัจจะ ๔ อย่างนี้
ย่อมพ้นทุกข์ได้ฉะนี้ นี้เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ จนบรรลุพระอรหัตของภิกษุผู้ตั้งมั่นแล้ว
ด้วยอำนาจแห่ง
ลมหายใจเข้า-ออกรูปหนึ่งฉะนี้แล
จบอานาปานบรรพ
อานาปานสติใน
อภิธัมมัตถสังหคะ ปริจเฉทที่ ๙