อารัมภบถ

ปณามพจน์
นมตฺถุ รตนตฺตยสฺส

         ข้าพเจ้า ขอถวายนมัสการองค์สมเด็จพระพิชิตมาร บรมไตรโลกุตตมาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงมีพระ มหากรุณาแผ่ไปในไตรภพและพระนพโลกุตตรธรรมอันล้ำเลิศ กับทั้งพระอริยสงฆ์ทรงพระคุณอันประเสริฐด้วยเศียรด้วยเกล้า
แล้ว จะขออภิวาทนบไหว้ซึ่งท่านบูรพาจารย์ทั้งหลาย ผู้เป็นอริยสัปปุรุษมีฌาณและพระคุณบริสุทธิ์ ทรงไว้ซึ่งนิกายไตรปิฎก นำพระพุทธศาสนาสืบๆ กันมา ด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่งแล้ว จักรจนาเรียบเรียงอรรถวรรณา เพื่อชี้แจง ถึงโลกต่างๆ อันสัตว์ทั้งหลายที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสารต้องอุบัติเกิด พร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการเข้าถึงโลกเหล่านั้นตาม สมควร ขอมวลชนคนดีมีปัญญาทั้งหลาย จงตั้งใจสดับอรรถวรรณาของข้าพเจ้า ซึ่งจักกล่าวในโอกาสต่อไปด้วยดีเทอญ

อารัมภบถ

         สมมติว่า ยังมีผู้วิเศษคนหนึ่งซึ่งมีจักษุญาณผ่องใส ไปนั่งเฝ้าประจำอยู่ ณ สถานที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง สถานที่ที่ว่านี้ ก็คือ เขตแดนระหว่างความเป็น กับ ความตาย นั่งดูอยู่นั่นแล้ว เขาก็จะเห็นว่า วันหนึ่งๆ มีผู้คนเดินทางผ่านเขตแดนจากมนุษย์โลก นี้หายวับเข้าสู่แดนมัจจุราชมากมายนักหนา ทุกวันเวลามีอยู่เสมอมิว่างเว้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ากฏธรรมดาของคนเราที่ เกิดมาในโลกนี้ผลที่สุดก็ต้องตาย เกิดมาเท่าใดเป็นต้องตายหมดเท่านั้น

         เมื่อพิจารณาดูไป เราท่านทั้งหลายที่เกิดมาก็เหมือนกับนักโทษที่เขาจะฆ่าธรรมดานักโทษที่ต้องประหารนั้น ขณะที่ นายเพชฌฆาตนำตัวไปสู่ตะแลงแกง ถ้าขืนต่อสู้ดุร้ายเป็นบ้าระห่ำพยายามขัดขืนจะหนีไปไม่ให้ฆ่า เขาก็จะตัดศีรษะหรือยิง เสียให้ตายโดยพลันในที่นั้นเอง ไม่ให้ลอยนวลอยู่หนักแผ่นดินต่อไปได้ ถ้าไม่ขัดขืนเดินตามเขาไปด้วยหัวใจฝ่อห่อเหี่ยวแห้ง
แล้ง ก็เหมือนแกล้งเดินเข้าไปหาความตายทุกฝีก้าว ครั้นถึงที่ประหารเล่า เขาก็จะมัดเข้ากับหลักแน่นหนาแล้วทำพิธีฆ่าลง ดาบตัดคอให้ขาดกระเด็น หรือเข่นฆ่าด้วยอาชญาวุธคือปืนผาหน้าไม้ ยิงตรงหัวใจให้ตายลงโดยฉับพลัน ตัวเราก็เหมือนกัน เกิดมาแล้วก็เหมือนนักโทษของพญามัจจุราช จะต้องขาดชีวิตดับชีพไปด้วยอาการ ๒ อย่างคือ

         ๑. ตายปัจจุบันทันด่วน เช่น ถูกยิงตาย ถูกแทงตาย ถูกฟันตาย รถชนตาย จมน้ำตาย ถึงแก่มรณกรรมด้วยอาการ ตายโหงเหล่านี้ ก็เหมือนกับนักโทษ ที่พยายามจะหนีขัดขืนเพราะไม่สมัครใจจะตาย เลยถูกเขาตัดศรีษะเสียฉับพลันให้ตายโหง ในปัจจุบันนั้นเอง

         ๒. ตายธรรมดา เช่น เจ็บป่วยเป็นไข้ ประกอบไปด้วยทุกขเวทนาใหญ่ เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย ลุกขึ้นไม่ไหว เคลื่อนกายไม่ได้ นอนนิ่งไม่ไหวติง อยู่บนเตียงที่ตาย ยังอยู่แต่ใจสั่นริกๆ คอยอยู่แต่ว่าจะดับจะตายลงไปเมื่อใดเท่านั้น อย่างนี้ ก็เหมือนกับนักโทษที่ใจฝ่อใจสั่น ถูกเขามัดเข้ากับหลักมั่น รอเวลาที่จะลงดาบประหาร กาลใดเขาลงดาบตัดศีรษะก็จะขาดใจ ตายวิญญาณดับไปเมื่อนั้น นี่แหละท่านทั้งหลาย ความจริงมีอยู่เช่นนี้ และมีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉะนั้น การที่เราจะแคล้วคลาด จากความตายเป็นอันไม่มี

ความตาย

         คราวนี้ก็มีปัญหาอยู่ว่า ที่ว่าความตายๆ นั้น มันเป็นอย่างไร? ความตายนั้นก็คือความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ ขณะที่ ยังเป็นๆอยู่นี่ มีชีวิตินทรีย์คอยหล่อเลี้ยงรูปกายเราให้สดใสไปมาเคลื่อนไหวได้ เมื่อใดขาดชีวิตินทรีย์เราก็เคลื่อนไหวไปมา
ไม่ได้ หมดความรู้สึก มีรูปกายแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ ถ้าจะเปรียบเหมือนไฟตะเกียง อาศัยน้ำมันชุบที่ไส้ จึงได้มีแสงสว่าง
รุ่งเรือง ถ้าน้ำมันเปลืองหมดก็ดับมืดฉันใด รูปกายนี้ก็เหมือนตะเกียง ชีวิตินทรีย์เหมือนน้ำมัน ถ้าชีวิตินทรีย์
ขาดหมดไป รูปกายก็ใช้การอะไรไม่ได้ เหมือนกับไฟตะเกียงดับมืดฉะนั้น อนึ่ง ชีวิตินทรีย์นี้คอยหล่อเลี้ยงรูปกายเป็นเหมือน
กับน้ำคอยหล่อเลี้ยงดอกอุบลไว้ เมื่อน้ำแห้งขาด ดอกอุบลก็พินาศเหี่ยวแห้งไม่สดใส รูปกายนี้ เมื่อชีวิตินทรีย์ขาดก็ถึง
ความพินาศตายไป เหตุนั้น ท่านจึง กล่าวว่า ความตายก็คือความขาดชีวิตินทรีย์

         เมื่อชีวิตตินทรีย์ขาดก็สิ้นลมหายใจ ครั้นสิ้นลมหายใจ วิญญาณก็ดับ ตาก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน จมูกก็ไม่ได้กลิ่น ลิ้นก็ไม่รู้รส กายก็หมดความรู้สึก นอนแข็งทื่อเหมือนท่อนฟืนที่รอการยัดเข้าเตาไฟ ไม่หวั่นไหวต่อความเย็นร้อนอ่อนแข็งแต่ ประการใด ถ้าทิ้งไว้ก็มีแต่จะเน่าเหม็นขึ้นพอง ถึงภาวะน่าเกลียดน่าชัง คนที่เคยคลั่งไคล้ใหลหลงกันมาก่อนก็ไม่อยากเข้าใกล้ ถึงขั้นนี้แล้วเอาไว้ด้วยไม่ได้ จำต้องเอาไปเผาเสียให้สูญในกองไฟ ไม่เช่นนั้นก็พากันนำไปฝังเสียในแผ่นดิน ให้สิ้นทุเรศนัยน์ตา เพราะถ้าเอาเก็บไว้ ก็มีแต่เหม็นสาบเหม็นสางให้รำคาญหาคุณค่าอันใดมิได้ อย่างนี้แลเรียกว่าความตาย ก็ความตายอย่างที่ ว่ามานี่ แต่ว่าจะเป็นเมื่อไรที่ไหนนั้น เราไม่มีวันที่จะรู้ได้เลย เพราะว่ามันเหมือนกับคนตาบอดตกยอดไม้

ตาบอดตกยอดไม้

         ยังมีบุรุษชราจักษุมืดคนหนึ่ง บังเอิญพลาดพลั้งตกจากยอดไม้อันสูงลิบ เมื่อตกแล้วก็มีอันเป็นตีนมือกาง ลิ่วๆ ลงมากลางหาว อกสั่นขวัญแขวน จะได้รู้ตัวว่าตนจะกระทบกระทั่งสิ่งใดบ้าง ครั้นตกลงมาถึงพื้นดิน ร่างกายจะแตกแหลกเหลว ป่นปี้ไปเมื่อใด อย่างนี้ก็หารู้ไม่เลย รู้อยู่แต่เพียงว่า " ตูข้านี้ชะรอยจะสิ้นอายุพลันตายเสียในครั้งนี้เป็นแน่แท้ ไม่มีใครช่วยแก้ไข ได้ " อุปมานี้ฉันใด เราทั้งหลายนี่ก็เหมือนกัน พอเกิดมาก็ชื่อว่าพลัดตกลงมาแล้ว วันคืนเดือนปีล่วงไปๆ ก็ได้ชื่อว่า ตัวเรากำลัง ลอยลิ่วๆ ลงมาแล้ว ใกล้ความแตกความตายเข้าไปทุกที แต่ที่จะให้รู้ว่าจักถึงพื้นดินแตกตายลงไปเมื่อใดนั้น ย่อมไม่มีวันรู้เลย รู้อยู่แต่เพียงว่าเกิดมาแล้วก็เที่ยงที่จะตายไปท่าเดียวคือ ต้องตายแน่ๆ จะเหลียวแลหาคนช่วยแก้ไขให้พ้นจากความตายนั้น เป็นอันไม่มี ความจริงเป็นอยู่อย่างนี้จงเชื่อเถิด

ตาย-เกิด

         อันว่าเราท่านทั้งหลายนั้น ครั้นเมื่อตายไปแล้ว หากว่าแล้วกันไปก็หมดเรื่องหมดราว แต่นี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ตราบใดที่ยังมีกิเลสตัณหาอยู่ ก็ต้องเวียนเกิดเวียนตาย ซึ่งเรียกว่าวัฏฏสงสารนั้น มีอยู่หลายที่หลายแห่ง ที่หนึ่งๆ จะเรียกว่า โลกหนึ่งๆ ก็ได้ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีโลกอยู่มากมาย เช่น โลกนรก โลกมนุษย์ และโลกเทวดา เป็นต้น เราตายไป แล้วใช่ว่าจะกลับมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อยู่ร่ำไปก็หาไม่ อาจจะไปเกิดในโลกอื่นๆ อีกมากมาย แต่จะไปเกิดในโลกไหน และเกิดเป็น อะไรนั้น ก็สุดแต่กรรมที่ทำไว้ หรือตามสภาพของจิตของแต่ละบุคคล และการที่จะไปเกิดแต่ละครั้งนั้น ใช่ว่าอยู่ๆ ก็ปุบปับไป เกิดส่งเดชอย่างนั้นเอง ไม่ต้องมีเหตุมีผลอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น อันที่จริง สัตว์ที่จะตายไปเกิดนั้น ก่อนที่ตายลงไปจริงๆ ย่อมต้องเกิดมี อารมณ์ ขึ้นก่อน อารมณ์นี้ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับเป็นมัคคุเทศน์ชี้ทางบอกให้ผู้ตายรู้ล่วงหน้าว่าตนจักไปเกิด ในโลกไหน มีสุขมีทุกข์ผิดแผกแตกต่างกันอย่างไร จักไปเกิดในโลกใหม่ซึ่งมิใช่โลกมนุษย์ หรือว่าจักได้กลับมาเกิดในมนุษย์โลก อีกต่อไป

อารมณ์ก่อนตาย

         กาลเมื่อสัตว์ทั้งหลายใกล้จะถึงแก่มรณะ ย่างเข้าสู่แดนมฤตยู แล้วจะไปบังเกิดอยู่ในโลกอื่นต่อไปนั้น ในมรณาสันกาล คือ กาลที่ใกล้จะตายนั้น ย่อมมีอารมณ์ ๓ ประการ ปรากฎเป็นอารมณ์แห่งปฏิสนธิจิตก่อน ดังต่อไปนี้

         ๑. กรรมารมณ์ ได้แก่ กรรมที่ตนเคยกระทำไว้แต่ก่อนๆ มาปรากฎให้ระลึกขึ้นได้ ในขณะที่กำลังร่อแร่จะตาย
ในพริบตานี้ ถ้าเป็นผู้มีบาปเคยทำอกุศลกรรมไว้ ในขณะนี้ก็จะปรากฎเป็นภาพให้เห็นชัดในมโนทวาร เช่น ตนเคยฆ่าคนไว้ ภาพที่ตนฆ่าคนก็มาปรากฎ ตนเคยเตะถีบด่าว่าพ่อแม่เอาไว้ หรือจะเป็นคนติดเหล้าดื่มสุราเมรัยเป็นประจำ เคยทำ อทินนาทานลักขโมยและปล้นคนอื่น เคยประพฤติกามมิจฉานอกใจสามีภรรยาเอาไว้ ก็จะปรากฎภาพให้เห็นชัดเจนอย่างที่ตัว ทำไว้ไม่ผิดเพี้ยน แล้วจิตก็ยึดหน่วงเอาภาพเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตจะตายลงไป ก็น้อมนำไปเกิดในทุคติภูมิ เช่น โลกนรก เป็นต้น หากว่าตนเคยทำกุศลกรรมเอาไว้ ในขณะนี้ก็จะปรากฎเป็นภาพให้เห็นอย่างชัดเจนในมโนทวารคือทางใจ เหมือนกัน เช่น ตนเคยบริจาคทาน เคยทำบุญเลี้ยงพระ เคยขุดสระสร้างศาลา เคยรักษาศีล ก็จะเห็นเป็นภาพของตัวเอง กำลังกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอย่างแจ้งชัดจำได้ ทำให้ใจคอชุ่มชื่น แล้วดับจิตตายลงไปทันใด อารมณ์อันดีงามนี้ก็จะน้อมนำ ไปเกิดในสุคติภูมิ อารมณ์เหล่านี้เรียกว่า กรรมารมณ์ ที่ปรากฎแก่คนที่ใกล้จะตาย ในขณะที่เขากำลังย่างเข้าสู่แดนมฤตยู เขาเห็นของเขาอยู่คนเดียวเท่านั้น เราท่านเวลานี้ยังไม่เห็น เพราะยังไม่ตาย ยังมีชีวิตเป็นปกติอยู่ถ้าอยากจะเห็นก็อดใจรอไป ก่อน โน่นจวนจะดับจิตตายโน่นแหละเป็นเห็นแน่ แต่ถ้ากรรมารมณ์ไม่ปรากฎให้เห็น ก็จะปรากฎอารมณ์อีกอย่างหนึ่ง คือ

         ๒. กรรมนิมิตตารมณ์ ได้แก่ อุปกรณ์ของการกระทำในอดีตมาปรากฎให้เห็น เพราะตามธรรมดาในการประกอบกรรม
ทุกชนิด ย่อมมีอุปกรณ์เครื่องทั้งสิ้น เช่น จะทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ฆ่าคน ก็ต้องมีดาบ มีด ปืน แหลน หลาว เป็นเครื่องมือ หรือจะทำบุญทำทาน ก็ต้องมีอาหาร เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆเป็นเครื่องมือ อุปกรณ์เหล่านี้จะมาปรากฎเป็นกรรมนิมิตในขณะที่ จะดับจิตมองเห็นเป็นภาพชัดเจนเป็นยิ่งนัก ในทางอกุศลก็จะปรากฎเครื่องมือของการกระทำบาปให้เห็นในขณะนี้ เช่น เห็นมีด ปืน หอก ดาบ เครื่องมืการพนัน การชนไก่ กัดปลา เรือกสวนไร่นาที่โกงเขาไว้ อะไรเหล่านี้เป็นต้น สุดแต่จะเคยทำชั่วด้วยสิ่งใด ก็จะมาปรากฎให้เห็นระลึกได้ จิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์ ดับจิตตายไปก็น้อมนำไปเกิดในทุคติภูมิ ในทางกุศล ถ้าตนเคยทำบุญ
ไว้ด้วยสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะมาปรากฎให้เห็นเหมือนกัน เช่น เห็นผ้าไตรเครื่องกฐินที่ตนเคยทอดถวายไว้ เห็นเครื่องสักการบูชา ดอกไม้ที่ตนเคยทำการบูชาไว้ เห็นขบวนแห่ในการทำบุญต่างๆ เห็นกุฏิวิหารที่ตนเคยสร้างไว้ ถ้าเป็นคนภายนอกศาสนาเช่น ฝรั่งมังค่า ก็เห็นโรงพยาบาลหรือสถานที่สาธารณะที่ตนมีน้ำใจ เป็นกุศลสร้างเอาไว้ อะไรเหล่านี้ อันเป็นอุปกรณ์เครื่องมือใน การทำกุศลกรรม มาปรากฎให้เห็นอย่างแจ่มชัดทีเดียว จิตยึดเหนี่ยวเอาเป็นอารมณ์แล้วดับลง ก็ตรงไปอุบัติเกิดในสุคติภูมิ อุปกรณ์แห่งการกระทำต่างๆ เหล่านี้เรียกว่า กรรมนิมิตตารมณ์ ย่อมจะปรากฎให้คนที่ใกล้จะตายได้เห็น ในขณะที่กำลังย่าง เข้าสู่แดนมฤตยู แต่ถ้ากรรมนิมิตตารมณ์ไม่ปรากฎ อารมณ์อีกอย่างหนึ่งก็ปรากฎ นั่นคือ

         ๓. คตินิมิตตารมณ์ ได้แก่ นิมิตต่างๆ อันบ่งบอกถึงคติของโลกที่ตนจะต้องไปเกิดในเวลาที่ดับจิตไปแล้ว ปรากฎขึ้นให้เห็นชัดเจนทางมโนทวาร บางทีก็เป็นภาพที่ตนเคยเห็น บางทีก็เป็นภาพที่ตนไม่เคยเห็น แต่ส่วนมากเป็นภาพ
ที่ตนไม่เคยเห็นทั้งสิ้น แบ่งเป็นประเภทได้ ดังนี้

         ก. ถ้าจะเกิดในโลกนรก เมื่อจะขาดใจนั้น ย่อมเห็นเป็นเปลวไฟร้อนระอุ เห็นหม้อเหล็กแดง เห็นไม้งิ้วหนามเหล็ก เห็นฝูงปีศาจราชฑูต รูปร่างพิกล ไม่เคยเห็นมาก่อน ถือไม้ค้อนเหล็กจะตีกบาล หรือถือหอกเหล็กโตเท่าลำตาลจะพุ่งมาที่
ทรวงอก หรือมาชุดกระชากลากตัวไป บางทีเห็นเป็นแร้งกากำลังมาจะฉีกกัดเลือดเนื้อของตัวกิน เขาผู้จวนจะตายนั้นย่อม เห็นอย่างชัดเจน ทำให้มีความตกใจสะดุ้งกลัวใจสั่นระรัว ถ้าส่งเสียงได้ในขณะนี้ ก็จะร้องโวยวายให้คนทั้งหลายช่วย เป็นน่าสงสารยิ่งนัก นิมิตนี้ชี้ว่า เขาผู้นั้นต้องไปตกนรกแน่นอน

         ข. ถ้าผู้ตายนั้นจะไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย ย่อมเห็นคตินิมิตเป็นหุบเขาหรือถ้ำอันมืดมิด บางทีก็เห็นเป็นแกลบข้าวลีบ มากมาย ให้รู้สึกหิวโหยอาหารและกระหายน้ำเป็นกำลัง บางครั้งก็เห็นเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง น่ารังเกียจน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก บางครั้งก็เห็นเป็นเปรตอสุรกายมีร่างกายใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวสกปรกรุงรัง ภาพดังกล่าวนี้มาปรากฎในมโนทวาร ให้เห็นชัดเจนแจ่มใส นิมิตนี้ชี้ให้รู้ว่า เขาผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย

         ค. ถ้าผู้ตายนั้นจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ย่อมเห็นคตินิมิตเป็นทุ่งหญ้าป่าไม้ เชิงเขา ชายน้ำ กอไผ่ ภูเขา บางทีก็ เห็นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ มาปรากฎ เช่น เห็นเป็นเนื้อถึก โคกระบือ หมู หมา เป็ด ไก่ เหี้ย นก หนู จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งกือ ไส้เดือน เหล่านี้เป็นต้น มาปรากฎอย่างชัดเจนแจ่มใสทางมโนทวารคือทางใจ อย่างนี้ก็เป็นนิมิตชี้ให้รู้ว่า เขาผู้นั้นจะได้ไปบังเกิดในกำเนิด สัตว์เดรัจฉาน

         ง. ถ้าผู้ที่ตายนั้นจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลกนี้อีก เขาย่อมจะเห็นคตินิมิตขณะที่จวนจะดับจิตนี้เป็นก้อนเนื้อ คือ เห็นเป็นก้อนเนื้อเล็กๆ อยู่ในครรภ์มารดา หรือเห็นครรภ์มารดาในชาติหน้าซึ่งจะมาถึงในพริบตานี้ปรากฎให้เห็นเป็นภาพ
ชัดเจนแจ่มใส เมื่อเห็นไปเช่นนี้ ก็เป็นนิมิตชี้ให้รู้ว่าเขาผู้นั้นจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้

         จ. ถ้าผู้ที่ตายนั้นจะได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาในสวรรค์เทวโลก เขาย่อมจะเห็นคตินิมิตเป็นทิพยวิมาน เห็นปราสาท ราชวังอันสวยสดงดงามซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หรือเห็นสิริไสยาสน์ที่นอนอันประเสริฐปรากฎในทิพยพิมาน แล้วไปด้วยแก้ว และทองมีประการต่างๆ งดงามนักหนา บางทีก็เห็นเป็นเทพบุตรเทพธิดาชาวฟ้าชาวสวรรคพากันขับระบำรำฟ้อน เป็นที่เริงสราญชื่นบานยิ้มแย้มแจ่มใส ประดับกายด้วยอาภรณ์อันประณีตสวยงามน่าดูชม อารมณ์เหล่านี้มาปรากฎเป็นภาพ ให้เห็นชัดทางมโนทวาร ทำให้ผู้จะถึงกาลกิริยาตายนั้นมีจิตใจเพลิดเพลิน เกิดความยิ้มย่องผ่องใสโสมนัส บัดนี้ ถ้ามีผู้สังเกตดูหน้าตาก็จะรู้ว่า เขาจะหลับตาตายอย่างสุขสงบไปพบสุคติแน่ในไม่ช้า เพราะนิมิตนี้ชี้ให้รู้ว่า เขาผู้นั้นจักได้ไปเกิด ในสวรรคเมืองฟ้าเป็นเทวดาแน่นอน

         จึงเป็นอันว่า ก่อนที่จะดับจิตตายลงไป คือ ในขณะที่กำลังย่างเข้าสู่แดนมฤตยูนั้น คตินิมิตย่อมบังเกิดปรากฎต่างๆ ดังกล่าวมา และการปรากฎของนิมิตเหล่านี้ บางทีก็ไม่ปรากฎอย่างเดียว เพราะบางคนเคยทำกองการกุศลไว้ก็มี และพร้อมกัน นั้นก็เคยทำบาปกรรมไว้บ้างก็มี ทำดีทำชั่วปนกันไว้ตามประสาคนมีกิเลสติดสันดานอย่างนี้ คราทีจะตาย บางทีก็เห็นเป็นนิมิต ปรากฎหลายอย่าง เดิมทีนิมิตฝ่ายข้างนรกบังเกิดก่อน แล้วนิมิตข้างสวรรคเทวโลกมาบังเกิดให้เห็น บางทีนิมิตข้างสวรรคเทวโลก มาปรากฎให้เห็นก่อนแล้วนิมิตข้างฝ่ายนรกมาบังเกิดซ้อนให้เห็นทีหลัง บางครั้งนิมิตฝ่ายข้างมนุษย์มาบังเกิดปรากฎให้เห็นก่อน แล้วนิมิตฝ่ายเดียรัจฉานจึงย้อนมาปรากฎอีกเล่า บางทีนิมิตฝ่ายเดียรัจฉานปรากฎให้เห็นก่อน แล้วนิมิตฝ่ายมนุษย์จึง
มาปรากฎให้เห็นทีหลัง เมื่อเป็นดังนี้ นิมิตที่ปรากฎทีหลังย่อมมีกำลังกว่า จิตของเขาผู้จะตายยึดหน่วงเอาเป็นอารมณ์ ย่อมนำไปสู่คติตามที่นิมิตทีหลังปรากฎ ในกรณีที่นิมิตปรากฎหลายชนิดนี้ พึงเห็นตัวอย่างดังต่อไปนี้

สามเณรเฒ่า

         ยังมีภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งปรากฎในนามพระศาสนาว่า พระโสณเถระ ท่านเป็นผู้มีปัญญาวิสารทะคือแกล้วกล้าชำนิชำนาญ ในพระปรมัตถธรรม รู้อรรถอันสุขุมลุ่มลึกในพระพุทโธวาท พระผู้เป็นเจ้ามีปกติอยู่เป็นประจำ ณ เชิงเขาโสณคิรีบรรพต ตามสมณวิสัย ส่วนบิดาของพระคุณเจ้ามีอาชีพเป็นพรานไพร ท่องเที่ยวไปในอรัญพร้อมด้วยฝูงสุนัข เพื่อล่าเนิ้อถึกมฤคีทุกวัน พระโสณะผู้บุตรนั้นห้ามปรามว่ากล่าวแก่บิดาอยู่เสมอ แต่พรานเฒ่าผู้มีสันดานหยาบนิยมไพรไม่เชื่อฟัง ยังแอบเข้าป่าไปล่าเนื้อ อยู่เนืองนิตย์ เมื่อชราภาพลงร่างกายอ่อนแอเข้าป่าไม่ไหวแล้ว พระคุณเจ้ามีจิตเอ็นดูกรุณาแก่บิดา จึงบอกว่า " บิดาเป็น
ผู้ชราแล้ว แต่นี้ไปก็จักเป็นผู้มีความตายไปในเบื้องหน้าไม่ช้านี้ ฉะนั้น ท่านอย่าฉิบหายจากสิ่งอันเป็นกุศลเสียเลย จงตั้งหน้ารักษาศีล คือ จงบวชเสียเถิด! " ตาเฒ่าไม่ศรัทธา ได้ฟังภิกษุผู้บุตรว่ามาดังนี้ ก็ตกใจรีบบอกปฏิเสธเป็นพัลวัน อ้างโน่นอ้างนี่กล่าวเป็นโวหารบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงมากมาย พระเถรเจ้าก็มิว่ากระไร แต่ในไม่ช้า ก็มาว่าขานประสงค์จะให้พราน ผู้บิดาบวชอีก พรานเฒ่าก็ปฏิเสธเช่นเคย พระเถรเจ้าเฝ้าชี้แจงอ้อนวอนพรานบิดาอยู่นานหนักหนา ในที่สุดพรานบิดา
ก็ยอมบวชแต่เป็นเพียงสามเณรเพื่อรักษาน้ำใจบุตรผู้อ้อนวอนไว้ พระเถระก็สอนให้รักษาสิกขาบทสิบไม่ให้ขาดได้

         พอสามเณรแก่บวชแล้ววันเดียว ก็เกิดอาพาธหนัก ใกล้ตายเต็มที ลงนอนบนเตียงคิลานไสยาสน์ ไม่อาจลุกขึ้นได้ ในขณะที่สามเณรเฒ่ากำลังย่างเข้าสู่แดนมฤตยูนั้น พลันนิมิตอกุศลก็มาปรากฎก่อน คือ ให้เห็นเป็นสุนัขใหญ่ๆ วิ่งออกมา
จากเชิงเขา แล้วเข้าแวดล้อมสามเณรเฒ่านั้น แสดงอาการราวกะว่าจะกัดเนื้อหนังมังสาเป็นภักษาหาร พรานใจบาปผู้เป็นเณร เฒ่าเห็นเช่นนั้นเข้าก็สะดุงตกใจกลัว ใจสั่นระรัวร้องโวยวายขึ้น เรียกพระเถระผู้เป็นบุตร ซึ่งนั่งเฝ้าพยาบาลอยู่ใกล้ๆ ให้ช่วย
ห้ามสุนัข พระเถระจึงถามว่า " ดูกรบิดาท่านเห็นซึ่งสิ่งดังฤา? " สามเณรเฒ่าจึงเล่าแจ้งทุกประการว่า " ดูกร ผู้เป็นบุตรเอ๋ย! บิดานี้ได้เห็นหมู่สุนัขมันวิ่งมาเป็นอันมาก ล้วนแต่ดุร้ายแยกเขี้ยวจะกัดกินบิดา ขอพ่อจงมีจิตเอ็นดูแก่บิดา ช่วยห้ามปรามมัน เสียทีเถิด

         พระโสณเถระผู้เป็นบุตรจึงปริวิตกว่า " บิดาเรา ชะรอยจะไปเกิดในนรกเป็นแน่แท้ จึงให้ปรากฎเห็นนิมิตเช่นนี้ ก็บัดนี้ถ้าบุญมีอยู่บ้าง หากบิดายังไม่ตายแล้วไซร้ เราจะช่วยให้สมกับบิดาของบุตรผู้มีปัญญาเช่นกับตัวเรา " คิดแล้ว
พระผู้เป็นเจ้าจึงตรวจดู ก็รู้ว่าบิดายังไม่ตาย เพียงแต่ถึงวิสัญญีภาพสลบลงเท่านั้น จึงลุกเดินออกมาข้างนอก ออกคำสั่งสามเณร เด็กทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ตน ให้ไปเก็บบุปผชาติต่างๆ มากระทำเป็นเครื่องลาดดาดประดับดอกไม้สักการบูชา ณ ลานเจดีย์ ศรีมหาโพธิ์เป็นอันมากแล้ว จึงให้ช่วยหามเตียงของสามเณรแก่ผู้บิดา ไปยังลานเจดีย์โดยไว พอเณรเฒ่าได้สติลืมตาขึ้น พระเถระจึงชี้ให้ดูดอกไม้นานาพันธ์สีสันสวยสด ปรากฎตั้งอยู่ที่ใกล้พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์เป็นเครื่องสักการบูชา แล้วสอนว่า
" บิดาจงยังจิตให้เลื่อมใสเป็นอันดีดอกไม้เหล่านี้เป็นของบิดา เขาหามาเพื่อให้บิดาได้กระทำสักการะพระเจดีย์อย่างนี้จะเป็นที่ พอใจหรือไม่? " ครั้นเห็นบิดาผู้ใกล้จะตายพยักหน้ารับเอาแล้วจึงสอนต่อไปว่า " แต่นี้บิดาจงทำใจให้ดี แล้วว่าในใจตามข้าพเจ้า

         ...ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระบรมไตรโลกนาถ อยํปูชา เครื่องสักการบูชาเหล่านี้ ข้าพระองค์ขอน้อมถวาย อุทิศแด่พระองค์ เครื่องสักการบูชาอันเป็นทุคตบรรณาการนี้เป็นของข้าพระองค์น้อมถวายกระทำสักการบูชาแด่พระองค์ เครื่องสักการบูชาอันเป็นทุคตบรรณาการนี้ เป็นของข้าพระองค์น้อมถวายกระทำการบูชาแด่พระองค์ "

         สามเณรแก่ประณมมือว่าตามถ้อยคำที่พระเถระผู้บุตรสอนอยู่ในใจ เพราะป่วยหนัก ออกวาจามิได้ แต่ในใจเลื่อมใส ชุ่มชื่นนักหนา พอบูชาเสร็จก็หลับตาลง ขณะนั้นนิมิตข้างสวรรคเทวโลกก็พลันบังเกิดขึ้น บันดาลให้สามเณรแก่เห็นเป็น
ทิพยวิมาน พร้อมทั้งสวนนันทวันและสวนผรุสกวันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่พอภาพนั้นเลือนหายไป ภาพใหม่ก็ปรากฎมาอีกเล่า เป็นชาวสวรรค์เทพอัปสรกัญญามาแวดล้อมอยู่โดยรอบ ตาแก่ชอบใจจึงมีแรงออกโอษฐ์ขับไล่พระเถระผู้เป็นบุตรว่า
" ดูกรพระโสณะ! ท่านจงถอยออกไปหน่อย " พระเถระจึงค่อยถามว่า " บิดาเห็นสิ่งใดหรือ จึงมาขับข้าพเจ้าเสียฉะนี้ " สามเณรเฒ่าจึงมีวาจาตอบว่า " นางเทพอัปสรที่จะเป็นมารดาของท่าน มาแวดล้อมต้อนรับเรา ท่านจงหลีกเขาหน่อยเถิด อย่าให้เขาต้องเข้าใกล้ตัวท่านผู้เป็นสมณะ " พระโสณเถระก็รู้แจ้งว่า นิมิตข้างสวรรค์มาปรากฎเช่นนี้ บิดาตนจักต้องไปเกิดใน สรวงสวรรค์แน่นอน พระเถระคิดฉะนี้แล้ว ก็ถอนใจมองดูบิดาหลับตาตายอย่างเป็นสุข

         อารมณ์ปฏิสนธิจิตแห่งสรรพสัตว์ในโลกทั้งหลาย ซึ่งบังเกิดขึ้นในขณะใกล้จะตาย ๓ ชนิด คือ กรรม ๑
กรรมนิมิต ๑ คตินิมิต ๑ ดังกล่าวมานี้ย่อมเกิดแก่สรรพสัตว์ทุกรูปนาม ไม่มียกเว้นว่าจะเป็น มนุษย์หรือสัตว์ อารมณ์เหล่านี้ย่อมอุบัติเกิดขึ้นอย่างเที่ยงแท้ไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะตายด้วยอาการอย่างใดก็ตาม ก็ต้องเกิดขึ้น
ก่อนแล้วจึงตาย ถ้าไม่เกิดอารมณ์เหล่านี้ก็ยังไม่ตาย แม้บุคคลที่กำลังเดินไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วถูกคนย่องมาข้างหลัง แอบฟันด้วยดาบอันคมกล้าคอขาดกระเด็น เช่นนี้ อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนั้นก็ต้องปรากฎขึ้นก่อน แล้วจึงดับจิตตายไป มิฉะนั้นคนกำลังนอนหลับเพลินอยู่ ถูกคู่อริใจขลาดย่องเข้ามาแล้วเงือดเงื้อซึ่งดาบอันคมกริบ ฟันคอสุดแรงเกิด จนศรีษะหลุด จากบ่า อย่างนี้เขาก็ต้องเห็นอารมณ์ทั้ง ๓ นั้นก่อน แล้วจึงจะขาดใจตาย แม้คนที่โชคร้ายจมลงในน้ำลึก ก่อนที่จะขาดใจตาย อารมณ์เหล่านั้นย่อมพลันมาปรากฎให้เห็นก่อนเช่นเดียวกัน เพราะวาระจิตนั้นเร็วพลันหนักหนา พึงทราบว่า แม้แต่แมลงวัน ตัวหนึ่งบังเอิญมาเกาะอยู่ที่ด้ามสิ่ว ในขณะที่คนงานเงือดเงื้อค้อนขึ้นแล้วตอกลงที่ด้ามสิ่วนั้นโดยพลัน ถูกแมลงวันบี้แบน
ตายทันที! อย่างนี้ก็คงมีกรรมหรือกรรมนิมิต คตินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฎเป็นอารมณ์ขึ้นก่อนแล้ว แมลงวันนั้นจึงจะทำกาล กิริยาตายไป ดังนั้น เราท่านทั้งหลายก่อนที่จะขาดใจตาย คือ ในขณะที่กำลังย่างเข้าสู่แดนมฤตยู ย่อมเห็นอารมณ์ทั้ง ๓ อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน เมื่อต้องเห็นแน่แล้วก็ขอให้เห็นอารมณ์ที่เป็นฝ่ายกุศลเถิด อย่าเกิดเห็นอารมณ์ฝ่ายอกุศลเลยจะเป็น การดี แต่การที่จะเป็นไปตามความปรารถนาเช่นว่ามานี้เป็นสิ่งที่เป็นไปโดยยากหนักหนา เพราะว่าใจเรานี้ย่อมเป็นอนัตตา ใครจะไปบังคับบัญชาไม่ได้ จะคิดจะเห็นอะไรก็เป็นไปตามเรื่องตามราวที่เขาปรารถนา หากว่าจิตใจเป็นอัตตา เราสามารถ บังคบบัญชาได้แล้วไซร้ ป่านนี้ก็น่าดูน่าชม คือ พวกเราไม่ต้องทำบุญทำกุศลอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่สั่งบังคับจิตของตนไว้
เสียแต่ในตอนที่กำลังดีๆ อยู่ คือในขณะนี้เลยทีเดียวว่า " เว้ย...เฮ้ยเจ้าจิต! เวลาตูข้าจะขาดใจตายนั้น เจ้าต้องเห็นคตินิมิต
ที่ดีๆ คือทิพยวิมานเมืองแมนแดนสวรรค์นะเว้ย อย่าลืมเสียล่ะ เพราะข้าอยากจะไปเกิดบนสวรรค์เมืองฟ้า " สั่งไว้เสียอย่างนี้ ก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องสิ้นเปลืองทำบุญให้เหนื่อยยากไปเปล่าๆ แต่นี่มันใช่เช่นนั้นที่ไหนเล่า เพราะเจ้าจิตของเรานี้มีสภาวะเป็น อนัตตาหาตัวตนมิได้ ใครจะสั่งอย่างใดย่อมไม่ฟังทั้งสิ้น ถวิลหาสิ่งใดย่อมจะเป็นไปตามใจชอบ เมื่อจิตชอบบาป มีบาปสลักอยู่ ในจิต ครั้นจวนจะตาย ก็จะเห็นนิมิตที่เป็นบาป ตรงกันข้าม คือ หากว่าจิตชอบกุศล ก็ย่อมจะเห็นนิมิตอารมณ์ที่เป็นบุญกุศล ดีงาม ฉะนั้น ถ้าไม่อยากเห็นอารมณ์ที่เป็นอกุศล ก่อนที่จะขาดใจตาย เพราะเกรงว่าจะพาเราไปอบาย ก็ต้องพยายามฝึกจิต ของเราให้ชอบในบุญกุศลเสียแต่บัดนี้ แล้วเมื่อถึงที่สำคัญที่ว่านั้น จิตก็จะเห็นอารมณ์ที่ดีงามเป็นกุศลเอง นี่แลเป็นทางเดียว ที่จะนำเราไปสู่สุคติภูมิได้

         พรรณนาถึงเรื่องก่อนจะตายมาพอสมควรแล้ว ต่อแต่นี้ไปจักกล่าวถึง โลกทีปนี คือ จะชี้แจงถึงโลกต่างๆ ที่สัตว์ทั้ง
หลายต้องไปเกิด หลังจากที่ได้ล้มหายตายจากโลกนี้ไปแล้ว พร้อมกับแสดงถึงกรรมที่ทำให้ต้องเกิดในโลกนั้นๆ พอสมควร ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลาย ผู้มีอันจะต้องตายแน่นอนในวันหน้าทุกท่านทุกคน ควรจะสนใจรู้แลรับฟังไว้พิจารณา เพื่อความสุขสวัสดีของตนในปรโลกภายภาคหน้า ฉะนั้น ขอท่านผู้มีปัญญาจงทำจิตให้โอฬารกว้างขวาง ให้ห่างจากความ เห็นแคบๆ เสียแต่บัดนี้ แล้วรับฟังเรื่องโลกต่างๆ ซึ่งจักได้บรรยากาศในโอกาสต่อไปนี้เถิด