พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 292 หน้า 226-229 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
ธัมมานุปัสสนา
อายตนบรรพ
- [ ๒๙๒ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือ อายตนะภายใน ๖
และอายตนะภายนอก ๖
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร
อายตนบรรพภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายใน ๖
- และอายตนะภายนอก ๖
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมรู้จักตาด้วย ย่อมรู้จักรูปด้วย อนึ่ง สังโยชน์ ( เครื่องผูก )
ย่อมเกิดขึ้น อาศัยตาและรูปทั้ง ๒ นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์
อันยังไม่เกิดขึ้น
ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์
ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้
ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว
ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้
ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
- ย่อมรู้จักหูด้วย ย่อมรู้จักเสียงด้วย
อนึ่ง สังโยชน์ ( เครื่องผูก )ย่อมเกิดขึ้น อาศัยหูและเสียงทั้ง ๒
นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้จัก
ประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด
ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด
ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
- ย่อมรู้จักจมูกด้วย ย่อมรู้จักกลิ่นด้วย
อนึ่ง สังโยชน์ ( เครื่องผูก )ย่อมเกิดขึ้น อาศัยจมูกและกลิ่นทั้ง ๒
นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้จัก
ประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด
ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง
ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
- ย่อมรู้จักลิ้นด้วย ย่อมรู้จักรสด้วย
อนึ่ง สังโยชน์ ( เครื่องผูก )ย่อมเกิดขึ้น อาศัยลิ้นและรสทั้ง ๒ นั้นอันใด
ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อัน
ตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
- ย่อมรู้จักกายด้วย ย่อมรู้จักโผฏฐัพพะ
( สิ่งที่พึงถูกต้องด้วยกาย ) ด้วย อนึ่ง สังโยชน์ ( เครื่องผูก )
ย่อมเกิดขึ้น อาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้ง ๒ นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง
ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น
ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์
ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้
ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว
ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้
ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
- ย่อมรู้จักใจด้วย ย่อมรู้จักธรรมารมณ์
( สิ่งที่พึงรู้ได้ด้วยใจ ) ด้วย อนึ่ง สังโยชน์ ( เครื่องผูก )
ย่อมเกิดขึ้น อาศัยใจและธรรมารมณ์ ทั้ง ๒ นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง
ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น
ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์
ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้
ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว
ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้
ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
- ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง
ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้
แต่เพียง สักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
คือ อายตนะภายนอก ๖ อายตนะภายใน ๖
อย่างนี้แล
จบข้อกำหนดว่าด้วยอายตนะ
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 328-330 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
อายตนบรรพ
- พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนาด้วยอำนาจขันธ์
๕ อย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะทรงจำแนก
โดยอายตนะ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น
- บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า ฉสุ
อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ อายตเนสุ ในอายตนะภายใน
๖ และ ภายนอก ๖ ความว่า
ในอาตนะภายใน ๖ เหล่านี้ คือ ตา หู
จมูก ลิ้น
กาย ใจ ในอายตนะภายนอก
๖ เหล่านี้คือ รูป เสียง
กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
บทว่า จกฺขุญฺจ ปชานาติ รู้ชัดจักษุ ความว่า ย่อมรู้ชัดจักษุประสาท โดยลักษณะ
พร้อมด้วยกิจตามความเป็นจริง บทว่า รูเป จปชานาติ รู้ชัดรูป ความว่า ย่อมรู้ชัดรูปอันเกิดแต่
๔ สมุฏฐาน
( กรรม จิต อุตุ อาหาร ) ในภายนอกโดยลักษณะพร้อมด้วยกิจตามความเป็นจริง คำว่า
ยญฺจ ตทฺภยํ ปฏิจฺจ
อุปฺปชฺชติ สํโยชนํ สังโยชน์ ย่อมอาศัย อายตนะทั้งสองเกิดขึ้น ความว่า สังโยชน์
๑0 อย่าง คือกามราคะ
ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรมาส ภวราคะ อิสสา มัจฉริยะ และ อวิชชา สังโยชน์
เกิดขึ้น เพราะ
อาศัยอายตนะทั้งสอง คือ จักษุ กับ รูป และย่อมรู้ชัดสังโยชน์ ๑0 นั้น โดยลักษณะพร้อมด้วยกิจตามความเป็นจริง
เหตุเกิดสังโยชน์
- ถามว่า ก็สังโยชน์นั้นเกิดได้อย่างไร
ตอบว่า เกิดได้อย่างนี้ จะกล่าวในจักษุทวารก่อน เมื่อบุคคลยินดี เพลิด
เพลิน อิฏฐารมณ์ อันมาปรากฏทางจักษุทวารโดยความยินดีในกาม
สังโยชน์คือ กามราคะ ก็เกิด เมื่อบุคคลขัดเคือง
ในอนิฏฐารมณ์ สังโยชน์ คือ ปฏิฆะ ก็เกิด
เมื่อสำคัญว่า ยกเว้นเราเสีย ใครอื่นที่สามารถเสวยอารมณ์นั้นไม่มี
ดังนี้ สังโยชน์ คือ มานะ ก็เกิด เมื่อยึดถือรูปารมณ์นั้นว่า เที่ยง ยั่งยืน
สังโยชน์คือ ทิฏฐิ ก็เกิด เมื่อสงสัย
รูปารมณ์นั้นว่า สัตว์หรือหนอ ของสัตว์หรือหนอ สังโยชน์ คือ วิจิกิจฉา ก็เกิด
เมื่อปรารถนาภพว่า
อารมณ์นี้เราได้โดยง่าย ในสมบัติภพแน่ สังโยชน์คือ ภวราคะก็เกิด เมื่อถือมั่นศีลและพรตว่า
เราถือมั่นศีล
และพรต อาจได้อารมณ์เห็นปานนี้ต่อไปอีก สังโยชน์คือ สีลัพพตปรามาสก็เกิด เมื่อเกียดกันอยู่ว่า
คนเหล่าอื่น
ไม่พึงได้รูปารมณ์เห็นปานนี้กันเลย สังโยชน์คือ อิสสา ก็เกิด เมื่อหวงแหน รูปารมณ์ที่ตนได้แล้ว
ต่อผู้อื่น
สังโยชน์ คือ มัจฉริยะ ก็เกิด เมื่อไม่รู้แจ้ง ด้วยอำนาจ ความไม่รู้สิ่งซึ่งเกิดพร้อมกับจักษุและรูปทั้งมวล
สังโยชน์ คือ อวิชชาก็เกิด
ความรู้เหตุละสังโยชน์
- คำว่า ยถา จ อนุปฺปนฺสส
ที่ยังไม่เกิดด้วยเหตุใด ความว่า สังโยชน์ แม้ ๑0 อย่างนั้น ที่ยังไม่เกิด โดยความไม่
ฟุ้งขึ้น ย่อมเกิดเพราะเหตุใด ย่อมรู้ชัดเหตุนั้นด้วย คำว่า ยถา จ อุปฺปนฺนสฺส
ที่เกิดแล้วเพราะเหตุใด ความว่า
สังโยชน์แม้ ๑0 อย่างนั้น ที่เกิดแล้ว เพราะอรรถว่า ยังละไม่ได้ หรือเพราะฟุ้งขึ้น
ย่อมละได้ เพราะเหตุใด
ย่อมรู้ชัดเหตุนั้นด้วย คำว่า ยถา จ ปหีนสฺส ที่ละได้แล้ว เพราะเหตุใด
ความว่าสังโยชน์ ๑0 อย่างนั้นแม้ละได้แล้ว
โดย ตทังคปหาน และ วิกขัมภนปหาน ย่อมไม่เกิดต่อไป เพราะเหตุใด ย่อมรู้ชัดเหตุนั้นด้วย
ถามว่า สังโยชน์ ๑0
นั้น ไม่เกิดต่อไป เพราะเหตุใด ตอบว่า ก่อนอื่น สังโยชน์ ๕ คือ ทิฏฐิ วิจิกิฉา
สีลัพพตปรามาส อิสสา และ มัจฉริยะ
ไม่เกิดต่อไป ด้วยโสดาปัตติมรรค สังโยชน์ ๒ คือ กามราคะ ปฏิฆะ อย่างหยาบ ไม่เกิดต่อไปด้วย
สกทาคามิมรรค
อย่างละเอียดไม่เกิดต่อไป ด้วยอนาคามิมรรค สังโยชน์ ๓ คือ มานะ ภวราคะ และอวิชชา
ไม่เกิดต่อไปด้วย
อรหัตตมรรค แม้ในคำว่า โสตญฺ จ ปชานาติ สทฺเท จ ย่อมรู้ชัดโสตะนั้นด้วย
เสียงด้วยเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน
อนึ่ง อายตนกถา ในที่นี้ พึงทราบโดยความพิสดาร ตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้ว ในอายตนนิเทส
คัมภีร์วิสุทธิมรรค
- คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา
หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายของตน ด้วยการกำหนด
อายตนะภายใน ในธรรมทั้งหลายของคนอื่น ด้วยการกำหนดอายตนะภายนอก หรือในธรรมทั้งหลายของตนตามกาล
ของคนอื่นตามกาล อย่างนี้อยู่ ก็ความเกิดและความเสื่อม ในอายตนบรรพนี้ พึงนำมาเทียบรูปายตนะลงในรูปขันธ์
มนายตนะในอรูปายตนะทั้งหลายลงในวิญญาณขันธ์ ธัมมายตนะลงในขันธ์ที่เหลือ ไม่พึงถือว่า
โลกุตตรธรรม
- คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่าธรรมมีอยู่ ความว่า
สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า ธรรมแลมีอยู่
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์ ท่านอธิบายว่า
สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อ
ประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ
ขึ้นไป และประมาณ
แห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า ไม่ถูก
กิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ
ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
สติกำหนดอายตนะ เป็นอริยสัจ
๔
- ในอายตนบรรพนี้ สติอันกำหนดอายตนะ เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติกำหนด
อายตนะ เป็นอารมณ์นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง
เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคอัน
กำหนดทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธเป็นอารมณ์เป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายโดยทางสัจจะ
๔ อย่างนี้
ย่อมบรรลุนิพพานดับทุกข์ได้แล นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดสติกำหนด
อายตนะ เป็นอารมณ์ อย่างนี้แล
จบอายตนบรรพ