อสุญกัป

         ครั้นเมื่อมนุษย์โลกเรานี้ ได้มีโอกาสต้อนรับ การมาเสด็จมาอุบัติขึ้น แห่งองค์สมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์ ผู้ตรัสเป็น พระเอกองค์พระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าในคราวใดคราวนั้น กาลเวลาย่อมถูกเรียกว่า อสุญกัป = กัปที่ไม่สูญเปล่า

         กล่าวถึงตอนนี้ บางทีบางท่านอาจจะงงๆ ไปบ้างก็ได้ว่า เรื่องกัปนี่ ก็ว่ามาแล้วนี่หนา ยังไม่หมดอีกหรือ ยังจะมี
อสุญกัปอะไรอีกเล่า? เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงติดตามอ่านดังต่อไปดังนี้

         กาลเวลาที่นับเป็นมหากัปและอสงไขย ที่ได้กล่าวไว้ตอนต้นโน้นน่ะ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมจำได้เป็นอย่างดีแล้วมิ ใช่หรือว่าเป็นระยะเวลายาวนานเพียงใด ทีนี้แต่ละมหากัป อันกินเวลายาวนานเหล่านั้น ใช่ว่าจะมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติตรัสในโลกเรานี้ทุกๆ มหากัปก็หาไม่ โดยที่แท้ บางมหากัปก็มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัส แต่บางมหากัป ก็ไม่มีมาตรัสเลย ทั้งนี้เพราะว่าการที่จะหาวิสิฏฐิบุคคลกล่าวคือ บุคคลผู้ทรงคุณพิเศษ เป็นพระโพธิสัตว์เจ้า ผู้มีพระกฤษดา ภินิหารอันสำเร็จแล้ว มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์นั้น เป็นไปได้โดยยากยิ่งนักหนา พูดอีกทีก็ว่า ไม่ค่อยจะมีพระนิตยโพธิสัตว์นั่นเอง ทีนี้ เมื่อมีสมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ในมหากัปใด มหากัปนั้น ย่อมไม่สูญจากคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่ คือมรรคผลนิพพาน เพราะมีสมเด็จพระบรมโลกุตตมาจารย์ มาทรงชี้แจงแสดงบอก และ มหากัปนั้น เมื่อว่าโดยนัยนี้ จึงอาจจะแบ่งมหากัปเป็นประเภทใหญ่ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ เป็นอีก ๒ ประเภท คือ

         ก. มหากัปใด ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้เลย แม้แต่สักพระองค์เดียว มหากัปนี้มี ชื่อเรียกว่า สุญกัป คือเป็นกัปที่สูญจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูญเปล่าจากมรรคผลนิพพพาน มิใช่แต่เท่านั้นในกาล ที่เป็นสูญกัปนี้ ย่อมสูญจากวิสิฏฐิบุคคลอื่นๆ อีกด้วย คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดี ย่อมไม่ปรากฏมีในกัปนี้เลย นับว่าเป็นกัปที่สูญจากวิสิฏฐิบุคคลจริงๆ

         ข. มหากัปใด มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก มหากัปนั้นเรียกว่า อสุญกัป คือเป็นกัปที่ไม่สูญ จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สูญจากมรรคผลนิพพาน มิใช่แต่เท่านั้น ด้วยว่าในกาลที่เป็นอสุญกัปนี้ ยังมีวิสิฏฐิ บุคคลทั้งหลายอื่น ปรากฏในโลกอีกด้วย คือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดี ย่อมปรากฏมี เฉพาะในกาลที่เป็นอสุญกัปนี้เท่านั้น

         บรรดาอสุญกัป คือ กัปที่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัตินี้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จมาตรัสอีก ดังต่อไปนี้

         ๑. สารกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แต่เพียง ๑ พระองค์ กัปนั้น เรียกชื่อว่า สารกัป

         ๒. มัณฑกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๒ พระองค์ กัปนั้นเรียก
ชื่อว่ามัณฑกัป

         ๓. วรกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๓ พระองค์ กัปนั้นเรียกชื่อว่า วรกัป

         ๔. สารมัณฑกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๔ พระองค์ กัปนั้น
เรียกชื่อว่า สารมัณฑกัป

         ๕. ภัททกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๕ พระองค์ กัปนั้นเรียก
ชื่อว่า ภัททกัป

         ตามที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ก็คงจะเห็นแล้วว่ากัปสุดท้าย คือ " ภัททกัป " นี้เป็นกัปที่ประเสริฐที่สุด เพราะมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ถึง ๕ พระองค์ นับว่าเป็นจำนวนมากที่สุด ไม่มีกัปใดที่จัก มีองค์พระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติมากยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว และบรรดาประชาสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งได้มาอุบัติเป็น มนุษย์หรือเทวดาในกัปนี้ ย่อมมีโอกาสที่จักได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือมิฉะนั้น ก็ได้พบศาสนาธรรมคำสั่งสอน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นระยะกันไปมากมายถึง ๕ พระองค์ ด้วยเหตุนี้ เหล่าสัตว์โลก คือ มนุษย์และเทวดา ผู้มีจิตกุศลโสภณ ปฏิสนธิด้วยไตรเหตุ ประกอบด้วยบุญวาสนาบารมี ย่อมสามารถที่จะกระทำอาสวะกิเลสให้สูญสิ้นไปจากขันธ สันดานแห่งตนได้โดยชุกชุม ในกัปสุดท้ายนี้มากกว่ากัปอื่น เพราะค่าที่เป็นกัปที่ประเสริฐที่สุด เป็นกัปที่หาได้โดยยากยิ่ง นาน แสนนาน จึงจักปรากฏมีในโลกเรานี้สักครั้งหนึ่ง ท่านจึงขนานนามอสุญกัปสุดท้ายนี้ว่า ภัททกัป กัปที่เจริญที่สุด

พระเจ้า ๕ พระองค์

         บัดนี้ มีความยินดีเป็นยิ่งนัก ที่จักขอแจ้งให้พวกเราชาวพุทธบริษัททราบจงทั่วกันว่า กัปที่พวกเราโผล่ขึ้นมาเกิด โดย ไม่รู้เนื้อรู้ตัวล่วงหน้ามากก่อนเลยเวลานี้นั้น มีชื่อเรียกว่าภัททกัป ซึ่งเป็นกัปที่เจริญที่สุด และหาได้ยากในโลกเป็นที่สุดดังกล่าว มาแล้วนั่นแหละ ไม่มีอสุญกัปใดที่จะประเสริฐเลิศล้ำ ยิ่งกว่ากัปที่เราท่านทั้งหลาย กำลังเกิดเป็นคนเป็นมนุษย์อยู่อย่างเวลานี้อีก แล้ว เพราะมีสมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติตรัสในโลกเรานี้ถึง ๕ พระองค์ คือ

         ๑. สมเด็จพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า
         ๒. สมเด็จพระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า
         ๓. สมเด็จพระกัสสโปสัมมมาสัมพุทธเจ้า
         ๔. สมเด็จพระสมณโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า คือองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์แห่งเราท่านทั้งหลาย ผู้เป็น
พุทธศาสนิกชนในขณะนี้นั่นเอง และต่อจากนี้ไปเมื่อศาสนาของพระองค์ท่าน ที่พวกเราชาวพุทธศาสนิกบริษัทกำลังประพฤติ
ปฏิบัติด้วยศรัทธา เคารพเลื่อมใสกันอยู่ทุกวันนี้ เสื่อมสูญอันตรธานไปหมดสิ้นแล้ว โลกเรานี้ ก็จักว่างจากพระบวรพุทธศาสนา เป็นโลกมืดบอดจากมรรคผลนิพพานไปอีกนานนักหนาแล้ววาระหนึ่ง จึงจักถึงกาลอันตรกัปที่ ๑๓ ( ในปัจจุบันทุกวันนี้ กำลังอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒ ) ก็และในอันตรกัปที่ ๑๓ นั้น สมเด็จพระนิตยบรมสัตว์เจ้า ทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรี
อริยเมตไตรย์เทพบุตรโพธิสัตว์ ซึ่งขณะนี้กำลังสถิตเสวยสุขอยู่ ณ เบื้องสวรรค์เทวโลกชั้นดุสิตภูมิ จักเสด็จมาอุบัติตรัสเป็น
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นองค์สุดท้ายในภัททกัปนี้ ทรงพระนามว่า
         ๕. สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ริรวมเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ที่เสด็จมาอุบัติตรัสในภัททกัป
นี้ถึง ๕ พระองค์ ด้วยประการฉะนี้ ทีนี้ หันมาพิจารณาถึงตัวเราท่านนี้ บรรดาเราท่านทุกผู้ทุกคนผู้กำลังโชคดี เพราะเกิดมา
เป็นมนุษย์ในโลกนี้ ในขณะที่เป็นภัททกัป ซึ่งเป็นกัปประเสริฐสุดมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยชุกชุมมากมายในกัปนี้แล้ว จงอย่าทำตนให้แคล้วคลาดจากอมตสมบัติคือ มรรคผลนิพพานเสียเลย จงพยายามแสวงหาประโยชน์จากความมีโชคดีใน
ครั้งนี้ให้ได้ ด้วยการรีบปฏิบัติธรรมตามคำสอนแห่งพระพุทธองค์เจ้า เพื่อเอามรรคผลนิพพานมาเป็นสมบัติของตนให้จงได้