เต ทีฆะรัตตัง โสจันติ เย ปมัชชันติ มาณะวา. คนประมาท ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน ตามพุทธพจน์ดังกล่าวนี้ ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้เช่นนี้ เป็นความจริงหรือไม่ ปัญหาในเรื่องความประมาทนี้ พระองค์ทรงจ้ำจี้จ้ำไช มาไม่ใช่น้อย แม้ขณะที่ พระองค์กำลังจะเข้าพระนิพพานนั้น ปัจฉิมโอวาท คำสั่งสอนครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะนิพพาน นั่นก็คือเตือนไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท ปัญหาในเรื่องความประมาทนี้ ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว อะไรมันจะเกิดขึ้น ถ้าเราดูกันอย่างหยาบๆ ตัวประมาทนี้ ถ้าเกิดขึ้น สิ่งนั้น คือ สติ หรือความระลึกรู้ ก็จะเสื่อมสลายหายไป ไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะเหตุไร เพราะสตินั้น เป็นโสภณเจตสิก ไม่ใช่จะเกิดขึ้นกันอย่างได้ง่ายๆ ถ้าเราจะพิจารณาดู ปัญหาในเรื่องคุณค่าของสติแล้ว พวกเราบางคนที่มีความเข้าใจ ในการที่จะก้าวไปหาธรรมะ แต่ละขั้น แต่ละตอน ไม่ว่าจะเป็นกามาวจรกุศลก็ดี รูปาวจรกุศลก็ดี อรูปาวจรกุศลก็ดี หรือ โลกุตตรกุศลก็ดี ถ้าพิจารณาดูแล้ว จะเห็นได้ว่า สมบัติอันยิ่งใหญ่ ที่เราจะเข้าถึงธรรมอันถูกต้องแท้จริงได้นั้น นั้นก็คือ สตินั่นเอง ก็เมื่อเราใช้สติเป็นตัวนำในการที่เราจะเข้าถึงธรรมะนั้น ถ้าเราตั้งอยู่ในความประมาทแล้ว สติมันจะเกิดขึ้นหรือ ทั้งนี้ขอให้พิจารณาดูเอง เพราะว่า ความประมาทนั้น มันเป็นฝ่ายดำ สติ มันเป็นฝ่ายขาว ที่พระองค์ตรัสว่า " คนประมาท ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน " นั้น หมายความว่าอะไร คิดดู ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว เพียงแต่ในปัจจุบันชาติ ถ้าเราตั้งอยู่ ในความประมาทแล้ว อะไร มันทำการปรุงแต่งจิตใจของเรา นั่นก็คือ อกุศลมูลจิต หรืออกุศลเจตสิกทั้ง 14 ดวงนั่นเอง ที่จะปรุงแต่งจิตใจของเรา เมื่ออกุศลเจตสิก ทำการปรุงแต่งจิตใจของเราเช่นนี้แล้ว พวกเราทุกคนยอมรับสภาวะ แห่งความเป็นจริงกันแล้วว่า จิตใจของเรานั้น มันเป็นประธานสหชาตธรรม คือ เป็นประธาน ของรูปและนาม เมื่อมันไปคบเข้ากับอกุศลเจตสิก เพราะพื้นฐานแห่งความประมาท ตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว อะไรจะบังเกิดขึ้น สิ่งนั้นจิตใจของเรา แม้จะทำหน้าที่เป็นประธานสหชาตธรรม คือผู้บังคับบัญชาของ รูปและนามก็ดี ความเลวมันก็จะบังเกิดขึ้น ทั้งนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้แล้ว ในเรื่องมงคล 38 นั้น " จงคบบัณฑิตเถอะ อย่าคบเลยซึ่งคนพาล " ฉะนั้นเมื่อจิตใจของเรานี้ มีอกุศลเจตสิกมาทำการปรุงแต่งแล้ว มันก็ทำให้จิตใจของเรา เมื่อชั่วช้าเลวทรามเกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว อะไรเล่า จะเกิดขึ้น เพราะร่างกายของเราก็ดี ปากของเราก็ดี มันเป็นขี้ข้าจิตใจของเรานี่ ฉะนั้นเมื่อจิตใจของเราชั่ว มันก็คงจะสั่งให้เราทำความชั่ว จะเป็นชั่วอย่างหนัก คือการล่วงกายกรรม หรือ วจีกรรม ถ้าหยาบมาก ก็คือ ถึงการติดคุก ติดตะรางนั่นเอง ถ้าละเอียดอีกหน่อยหนึ่ง อาจจะทำ กายกรรมก็ได้ วจีกรรมก็ได้ มโนกรรมก็ได้ อะไรเล่าที่จะได้รับผล ในแง่ของทางโลกมันอยู่ที่กายและวาจา ปัญหาเรื่องของกฏหมาย แต่ถ้าเรื่องของธรรมะแล้ว มันเป็นเรื่องละเอียดยิ่งกว่ากฏหมาย อาจจะเป็นได้ กายก็ได้ วาจาก็ได้ ใจก็ได้ ทำไมที่พระองค์ตรัสว่า " คนตั้งอยู่ในความประมาท ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน " นั้น ก็เพราะว่าใจของเรานั่นเอง เป็นตัวสั่งให้ทำความชั่ว เมื่อทำความชั่วเช่นนี้แล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเอาไว้จริงหรือไม่ที่ว่า " กรรมใดใครก่อ ผู้นั้นก็ได้รับ " นั่นอะไร เราได้สร้างเหตุอันเลวทรามต่ำช้า ให้เกิดขึ้นแล้ว นั่นก็คือ อกุศลกรรม ให้เกิดขึ้นนั่นเอง ไม่ว่า ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี

         การที่เราสร้างอกุศลกรรมให้เกิดขึ้นนั้น ผลที่จะได้รับ เราจะรับกันอย่างไร อาจจะรับในปวัตติกาลก็ได้ หรืออาจจะรับในอนาคตชาติก็ได้ ปัญหาเมื่อเราทำความชั่วเช่นนี้แล้ว เพราะว่า เราตั้งอยู่ในความประมาท สำนึกตัวกันมั่งหรือเปล่า พวกเราทุกคนเกิดขึ้นมา เมื่อแรกเกิดก็ยังเป็นเด็กๆ อยู่ เดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มเป็นสาวก็มี แก่เฒ่าลงไปแล้วก็มี พิจารณาดูให้ดี สิ่งเหล่านี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ จริงไหม นั่น หมายความว่าอะไร เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องแก่ แก่แล้ว ก็ต้องตาย พวกเราทั้งหลายสำนึกตัวมั่งหรือเปล่า ว่าเราจะไม่ตายเหรอ และเมื่อตายนั้น เราได้เคยพูดตักเตือนกันมาแล้ว ว่าอ้ายคุณสมบัติของเราทั้ง 19 ตัวนั้น ตัวไหนมันจะเกิดขึ้น นั่นอะไร ก็คือจุติจิตนั่นเอง ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าจุติจิตเกิดขึ้น ความตาย เราก็ตาย ตายแล้ว มันก็ปฏิสนธิจิต มันก็เกิดขึ้น ตัวนี้ถ้าเราตั้งอยู่ในความประมาท และทำความชั่วให้เกิดขึ้นแล้ว อะไรเล่าจะได้รับผล ถ้าเราทำความชั่วนั้น จุติจิตอะไรจะเกิดขึ้น ก็คืออุเบกขา ที่เป็นอกุศลเจตสิก ก็เกิดขึ้น หรือจะเป็นกุศล เราก็เป็นคน แต่ง่อยเปลี้ยเสียขา ถ้าเป็นอกุศล เราก็ต้องตกอยู่ ในทุคติภูมิทั้ง 4 ไม่ว่า สัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือเดรัจฉาน แต่ถ้าเราไม่ตั้งอยู่ ในความไม่ประมาทแล้ว เมื่อเราจะตาย จุติจิตแทนที่จะเป็น อุเบกขาสันตีรณะทั้ง 2 ดวงนั้น มันก็จะเป็น มหากุศลวิบาก ตัวหนึ่งตัวใดใน 8 ดวง และผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้ ในการทำจิตให้บริสุทธิ์ชั่วขณะนั้น ถ้าเราไม่ตั้งอยู่ในความประมาทแล้ว อะไรเล่าจะเกิดขึ้น นั่นก็คือ มหัคคตจิต ดวงหนึ่งดวงใดใน 9 ดวงจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว กำไรชีวิตของเราก็จะเกิดขึ้น ฉะนั้น ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า " คนประมาท ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน " เมื่อเขาตกอยู่ในทุคติภูมิ สติมันจะเกิดขึ้นหรือ เรามีแต่ความรู้สึกดิ้นรน ที่จะสร้างความชั่วกันต่อไป ฉะนั้นคิดดูว่า พุทธพจน์ตามที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้นี้ เป็นความจริงหรือไม่ ฉะนั้นเราจะตั้งอยู่ในความประมาท หรือไม่ประมาทก็ตามใจ เพราะว่าเราเห็นคนไทย ย่อมมีเสรีภาพ ซึ่งจะทำกันได้ทุกอย่าง แต่ใครทำอย่างไร ผลมันก็จะได้รับเป็นอย่างนั้น

         เมื่อวันก่อน ที่เราพบปะเจอะเจอกัน และวันนี้ ไม่ได้ไปไหน มาพบปะเจอะเจอกันอีกวันหนึ่ง ซึ่งเราได้พูดตักเตือนกันมานานแล้ว เราจะไม่ทำความชั่วนั้น เราได้พูดกันมาแล้ว ทางความชั่ว ทางกาย 3 มีความหมาย เป็นอย่างไรและทางวาจา 3 มีความหมาย เป็นอย่างไร ยังเหลืออีกตัวหนึ่ง คือ วาจาตัวที่ 4 คือ ผรุสวาท ตัวนี้ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว อ้อ ขอโทษ ตัวผรุสวาทะนี่ การกล่าวคำหยาบ เราได้พูดกันไปแล้วเมื่อวันก่อนนี้ คือ ตัว สัมผัปปลาปะ ตัวนี้ หมายถึง การกล่าวคำเพ้อเจ้อเหลวไหล นั่นเอง ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว พวกเราเกือบแทบทุกคน ได้สร้างความชั่วตัวนี้ให้เกิดขึ้น เกือบจะเป็นประจำในชีวิตของเรา ถ้าพูดเช่นนี้แล้ว เรามาพิจารณาดู ทำไมถึงได้เกิดขึ้นเช่นนี้ ตัวนี้ เพราะว่า เราตั้งอยู่ในความประมาท ขาดสตินั่นเอง ถ้าเราสังเกตดู ในสังคมปัจจุบันนี้ เขาได้สร้างกันขึ้น อย่างมากมายมหาศาล แต่ไม่มีใครสำนึกตัว

         สัมผัปปลาบปะนั้น การพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลนั้น ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว มันจะต้องมีองค์ประกอบ เป็น 2 ตัวเกิดขึ้น

         ตัวที่ 1 เรียกว่า นิรัตถะกะถาปุเรกขาระตา หมายความว่า มุ่งกล่าวคำที่ไร้แก่นสาร คำที่ไม่มีประโยชน์ สังเกตดู สังเกตดู คนส่วนใหญ่ทำกันเช่นนี้ หานึกไม่ว่า ตัวนี้ เป็นตัววจีกรรมตัวหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนไว้ การที่มีวจีกรรมเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกล่าวคำเพ้อเจ้อนี้ ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว คนไทยทั้ง 46 ล้านผมว่า 99 เปอร์เซนต์ นั่นแหละ มีแต่ความเพ้อเจ้อ น้อยคนเหลือเกิน ที่จะพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ หรือแก่นสาร ไม่ว่าทางโลกทางธรรม นี่ เป็นอุปกรณ์ตัวที่ 1

        อีกตัวหนึ่ง อุปกรณ์ตัวที่ 2 เรียกว่า กะถะนัง หมายถึง กล่าวคำที่ไม่เป็นประโยชน์นั้น ให้แก่คนอื่นเขาฟัง

        ถ้าเราจะพูดกันให้ดีแล้ว ปะโยคะ ของสัมผัปลาปะนี้ ก็มีทำนองเดียวกันกับปิสุณาวาท และผรุสวาทนั่นเอง ไม่ผิดแผกแตกต่างกันประการใด แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า มันจะเป็นเรื่องของความชั่ว หรือไม่ทั้งนี้เพราะเหตุไร เพราะสังคมทั้งหลายเป็นไปเช่นนั้น

        ปัญหาในเรื่องผล ที่มันจะเกิดขึ้น ในปวัตติกาลนั้น ของสัมผัปปลาปะ มีอยู่ 4 ประการด้วยกัน คือ คุณสมบัติที่จะได้รับ

        ตัวที่ 1 ที่จะบังเกิดขึ้น ถ้าพวกเราสังเกตดูให้ดีแล้ว ถ้าเราท่องเที่ยว มีการเสวนาวิสาสะกัน เราก็จะเห็นว่าตัวที่ 1 นั้นได้แก่ อธัมมวาทบุคคล อธัมมวาทบุคคล หมายความว่าอะไร หมายความว่า บุคคลผู้นั้นเป็นบุคคลที่พูดแต่อธรรมเท่านั้น ไม่สามารถที่ก้าวเข้าถึงธรรมได้แต่ประการใด ตัวนี้เป็นตัวอะไร เป็นผลวิบาก ที่เขาจะได้รับ ไม่ว่าปัจจุบันชาตินี้ก็ดี หรืออนาคตชาติก็ดี แต่รับในฐานะปวัตติกาล คืออาจจะตกนรกหมกไหม้มาแล้ว กลับมาเกิดเป็นคน หรือเป็นอมนุษย์ก็สืบอย่างนี้ต่อไป ซึ่งเราจะเห็นได้จากผู้ที่ตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์ ทั้งเป็นมนุษย์และอมนุษย์ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะในอดีตชาตินั้น ได้สร้างให้เกิดขึ้นแล้ว สัมผัปปลาปะ
         ฉะนั้นจึงเตือนพวกเราทั้งหลาย อย่างตั้งอยู่ในความประมาทนะ แต่อ้ายคำเตือนของผมนั้น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะทุกคนเขาบอกว่า เขามีสติกันทุกคนแล้ว ฉะนั้นผมเองเป็นคนเลวที่สุด เพราะไม่มีสติ จึงได้คอยตักเตือนตัวของเราเอง และนอกจากตัวของเราเองแล้ว ก็สร้างประโยชน์ ให้กับคนอื่นเขาด้วย แต่คนอื่นเขาไม่รู้ประโยชน์นั้น อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ก็คิดเอาเองก็แล้วกัน เพราะว่าผมพยายามที่สุด ที่จะสร้างความเป็นอุเบกขาให้เกิดขึ้น ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใครอีก นอกจากอธัมมวาทบุคคลแล้ว เป็นบุคคลที่กล่าวคำที่ไม่เป็นธรรมแล้ว

         อีกตัวหนึ่งนั้น ได้แก่อะไร ก็ได้แก่ ไม่มีผู้เลื่อมใสในคำพูดของตน นั่นเอง ผลจะเกิดขึ้น สังเกตดู คนบางคนพูดจาปราศรัยอะไร ไม่มีคนเขาเชื่อ แต่บางคนทำไมมีคนเชื่อเขา เช่นนั้น ตัวนี้ เราทำความเข้าใจกันให้ดี
         ฉะนั้นถ้าเราพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาแล้ว ถ้าเห็นว่ามันไม่ดี ปากของเรานั่นแหละ หุบมันเสียบ้าง อย่าอ้าไปเหมือนบุคคลทั่วๆ ไปทั้งหลายเขาเลย อย่างน้อยเราก็ ไม่สร้างวจีกรรมตัวนี้ให้เกิดขึ้น เท่าที่ผมพูดมานี้ ผมพูดตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ ตรัสไว้ว่า " กรรมใดใครก่อ ผู้นั้นก็ได้รับ " ฉะนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเป็นเรื่องของพวกท่านทั้งหลาย

         อีกตัวหนึ่ง คุณสมบัติอีกตัวหนึ่ง ที่จะได้รับนั้น ก็คือ ความไม่มีอำนาจ จะเกิดขึ้น ปัญหาในเรื่องนี้ สังเกตดู คนบางคน แม้แต่จะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็ปราศจากอำนาจไปก็มี
         ถ้าสำนึกดูให้ดีแล้ว พิจารณา ตามพระธรรมคำสอนแล้ว เราก็จะรู้ได้ว่า เหตุปัจจัยมันเกิดขึ้นได้ เพราะอะไรนั่นเอง ถ้าเรายังมีความเคารพนับถือ ในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราก็คงไม่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เราจะทำอะไร จะต้องทำด้วยสติและปัญญา ถ้าเราไม่ทำด้วยสติปัญญาแล้ว อะไรเล่า มันจะมาปรุงแต่งจิตใจของเรา เพราะว่าจิตใจของเรานั้น เป็นประธานสหชาตธรรม นั่นก็คือ อกุศลเจตสิก 14 ดวงนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวโมหะมันจะทำให้เราเป็นอะไร คิดเอาเองก็แล้วกัน เพราะว่า อย่าลืมนะว่าพวกเรา ตามความเข้าใจของผม คิดว่า เกิดมาแล้วก็ต้องตาย แต่ถ้าผู้ใดไม่ตาย อย่าไปสนใจฟัง

         คุณสมบัติ ตัวที่ 4 นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเราซึ่งเป็นนายแพทย์นั้น จะหาเหตุปัจจัยได้หรือไม่ ผมไม่รู้ นั่นก็คือ ผู้ที่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลนั้น ปวัตติกาลอะไรจะเกิดขึ้น ได้แก่ จิตไม่เที่ยง จิตไม่เที่ยง ความหมายของจิตไม่เที่ยง ในที่นี้ ได้แก่อะไร นั่นก็คือ ความวิกลจริตนั่นเอง สังเกตดูให้ดี ความวิกลจริตของคนเรานี้ ถ้าจะสอบสวนหาเหตุหาปัจจัยดูให้ดีแล้ว เราจะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่เกิดจากวจีกรรม ซึ่งเราได้ทำมาไว้แล้วในอดีตอย่างโมหฬาร นั่นเอง ฉะนั้น ใครจะเพ้อเจ้อหรือไม่ ก็ตามใจ เพราะว่า มีโอกาสมาพบปะเจอะเจอกัน เราก็ตักเตือนกัน แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ใชเรื่องของผม

         นอกจากที่เราได้พูดกันมาแล้ว ในเรื่องที่จะไม่ทำความชั่ว อย่างหยาบๆ ก็ได้แก่กายและวาจา คือในอกุศลกรรมบถ10 นี่ เป็นตัวที่หยาบที่สุด แต่เรายังพูดกันไม่หมด ทีนี้ตัวต่อไป ก็ได้แก่ การทำความชั่วทางใจนั่นเอง การทำความชั่วทางใจนั้น คนส่วนใหญ่ไมได้คำนึงถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ไม่ได้เข้าถึงธรรมเข้าใจว่า คงจะไม่เป็นบาปเป็นกรรมแต่ประการใด แม้แต่ผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้ว ถ้าตั้งอยู่ในความประมาท โดยขาดสติแล้ว ความชั่วตัวนี้มันก็บังเกิดขึ้น ความชั่วตัวนี้ ได้แก่อะไร ก็คือ ได้แก่ อภิชฌา นั่นเอง อภิขฌาตัวนี้ เรานั่งอยู่เฉยๆ นอนอยู่เฉยๆ เพียงแต่ อยากได้ของของเขาเท่านั้น คิดเหรอว่า มันจะไม่เป็นความชั่วทำให้เกิดขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความชั่วทางใจนี้ ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว มันไม่เหมือนกับ ความชั่วทางกาย เพราะความชั่วทางกายนั้น คนอื่นทำแทนเราได้ แต่ความชั่วทางใจนั้น เราต้องทำด้วยตัวของเราเอง ฉะนั้นผู้ที่ทำความชั่วทางใจ ตัวอภิชฌานี้ คือ ความอยากได้ของของเขานั้น พิจารณาให้เห็น องค์ประกอบนั้น มีอยู่ 2 ตัวด้วยกัน

         ตัวที่ 1 เรียกว่า ปะระภัณฑัง หมายความว่า ทรัพย์ที่เราอยากได้นั้นมันเป็นทรัพย์ของผู้อื่น เป็นทรัพย์ของผู้อื่น ถ้าเรามีความเข้าใจ ในเรื่องของศีล 5 ศีล 5 นี่เป็นศีลตัวที่หยาบ ตัวอทินนาทานนั้น มันเป็นเรื่องความชั่วทางกาย ถ้าเราฝึกหัดทางกายซึ่งเป็นตัวหยาบ ก้าวเข้ามาถึงความชั่วทางวาจา ซึ่งละเอียดกว่ากายลงไปอีกแล้ว ก้าวเข้ามาถึงใจ มันก็ละเอียดขึ้นไปอีก ตัวนี้มันเป็นตัวบาปตัวกรรม คิดดู จริงหรือไม่ ปัญหาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้แล้วว่า กรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า นั่นหมายความว่าอะไร เราจะทำความดีก็ตาม ทำความชั่วก็ตาม ขึ้นอยู้กับ สภาวะจิตของเรา เพราะว่าสภาวะจิตของเรานั้น มันเป็นประธานสหชาตธรรม ตัวนี้เป็นตัวละเอียด เพียงแต่เราคิดเท่านี้ มันก็เป็นบาปเป็นกรรมลงไปแล้ว นี่ เป็นตัวที่ 1

         ตัวที่ 2 คุณสมบัติตัวที่ 2 เมื่อเราจะทำ ก็ทำให้ครบ ผลมันก็จะได้รับ ไม่มีปัญหา คุณสมบัติตัวที่ 2 ก็คือ อัตตะโน ปะริฌามะนัง หมายความว่า มีความเพ่งเล็ง ให้ได้มาเป็นของของตน
         นั่น เห็นไหม เพียงแต่ 1 ทรัพย์ของผู้อื่น และ
                                  อยากจะได้ของของเขามานั้น

         นี่แหละ เป็นความชั่วทางใจ ซึ่งใน สรุปโอวาทปาฏิโมกข์ ถ้าเราดูให้ดีแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า " จงอย่าทำความชั่วเลยนะ " นั่น ตัวนี้เป็นตัวหยาบๆ ถ้าเราทำ เราอาจจะเท่งทึ้งตกไปอยู่ ในทุคติภูมิทั้ง 4 ก็ได้ เมื่อตกอยู่ในทุคติภูมิ พ้นทุคติภูมิมาแล้ว คุณสมบัติตัวนี้ เรียกว่า ปวัตติกาลแห่งอภิญชานั้น มีถึง 4 ประเภท 4 ประเภทนี้ ถ้าพวกเราพิจารณาไตร่ตรองดูให้ดีแล้ว ปัญหาในเรื่องสังคม มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

         คุณสมบัติตัวที่ 1 แห่งปวัตติกาลของอภิญชานี้ ก็ได้แก่ ความเสื่อมในทรัพย์ และในคุณงามความดี ที่ตัวสะสมอบรมมา ทำเท่าไร แทนที่ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง คุณงามความดีจะบังเกิดขึ้น มันก็ไม่บังเกิด มีแต่เสื่อมลงๆ
         มีความคิดบ้างหรือไม่ แล้วเราทำยังไง กันต่อไป เราก็ต้องไป หาเกจิอาจารย์ ทำพิธีรีตอง งมกันต่อไปอีก สร้างความชั่ว ต่อไปอีก เพิ่มเข้าไปแล้วอะไรบังเกิดขึ้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ใช่หรือไม่ ว่า " ตั้งอยู่ในความประมาทนั้น ความทุกข์ยากก็จะต้องได้รับ เป็นนมนาน " แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราได้ประสบมาเช่นนี้ เราสำนึกตัวของเราเช่นนี้แล้วว่า อ๋อ เราได้ทำความผิดมาแล้ว เช่นนี้ ตัวนี้เอง อะไรเกิดขึ้น ตัวสติ มันก็เกิดขึ้น เมื่อตัวสติมันเกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว วิบากกรรมที่เราได้รับตัวหนึ่งตัวใดนั้น เมื่อมันครบถ้วนแล้ว มันก็จะสูญสลายหายไป แต่ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่มีสติ ตั้งอยู่ในความประมาท เราก็สร้างกรรมกันต่อไปอีก อาจจะเป็นให้เกจิอาจารย์ เขาทำโน่นทำนี่ก็ได้ นั่นก็ตัว เป็นตัวกรรม ถ้าเราเกิดความไม่พอใจ เพราะว่าฉันทำคุณงามความดีมาเช่นนี้ ทำไมฉันถึงได้ทำไม่ได้ ฮะ สร้างทางกาย อาจจะไป ตีเขา อะไรเขาก็ได้ หรือจะไปด่าพ่อล่อแม่เขาก็ได้ ตัวนี้ สร้างต่อไปอีก นั่นอะไร เราได้สร้างเหตุมาแล้วในอดีต คือการอยากได้ของเขานั้น แล้วเราก็ได้รับผลวิบากในปวัตติกาลนี้ แทนจะยุติกันเพียงแค่นี้ เราสร้างความชั่วต่อไปอีก ไม่ว่า ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี นั่นอะไร คือ สร้างเหตุต่อไป จากผล ที่เราได้รับ แล้วคิดดูซิ มันก็ หนักยิ่งขึ้น หนักยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาในเรื่องนี้ ถ้าเราสังเกตดูให้ดีแล้ว เพราะเราทำเขา เขาจึงมาเล่นงานเรา แต่ผลวิบากนั้นมันจะหนักขึ้น หนักขึ้น หนักขึ้นเพราะเหตุไร เราก็ดี ผู้เขามาทวงถามก็ดี ต่างก็ยังมีกิเลส และตัณหา ในวัฏฏะมันก็เพิ่มทวีขึ้น ฉะนั้น เหตุที่เราทำเขา ผลที่เรารับ เราก็สร้างเหตุหนักขึ้นไปอีก และผลมันก็หนักขึ้นไปอีก เราก็สร้างเหตุหนักขึ้นไปอีก ผลก็หนักขึ้นไปอีก เห็นไหม พิจารณาดูให้ดี ว่าขาดทุน หรือได้กำไรกันแน่ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเอาไว้ว่า " ต้องได้รับความทุกข์ยากลำบากกาลนาน " นั้น ถ้าตราบใดเรายังไม่มีสติ สัมปชัญญะ ระลึกรู้ความชั่วของเราแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น นี่ นอกจากนี้

         คุณสมบัติตัวที่ 2 ก็ได้แก่ ปฏิสนธิในตระกูลต่ำ จงสังเกตดู ในเมืองไทยเรานี้ มีทั้งสูง ทั้งต่ำ นี่ ถ้าเราไม่ได้สร้างความชั่ว ให้เกิดขึ้นแล้ว เช่นนี้ เราจะเกิดขึ้นเช่นนี้เหรอ ทั้งนี้เพราะเหตุไร การตายและการเกิดนี่ เป็นตัวที่สำคัญยิ่ง นั่นคือจุติจิต กับปฏิสนธิจิตนั่นแหละ มันตัวเดียวกัน 19 ดวง เรามีดวงไหนเล่า ถ้าเรามีอุเบกขาทั้งสองนั้น อะไรเกิดขึ้น พิจารณาดูให้ดีก็แล้วกัน นอกจากคุณสมบัติที่เราจะได้รับ คือ ความเสื่อมด้วยทรัพย์ และคุณงามความดีที่เราได้ทำ เราไม่ได้รับ มีแต่ความเสื่อมนั้น นอกจากนั้นแล้ว ก็คือ การเกิดในตระกูลต่ำแล้ว สองตัวแล้ว

         สมบัติ ที่เราจะได้รับ อีกตัวหนึ่งนั้น ก็ได้แก่ มักจะได้รับแต่คำติเตียน แทนที่จะได้รับการยกยอปอปั้น พิจารณาดูให้ดี เพียงแต่เรามีจิตใจของเราคิดนึก อยากจะได้ของของเขาเท่านั้น

         ถ้าเรามีความเข้าใจกันแล้ว เราคงจะไม่ทำเช่นนี้ เราอย่าลืม ทำไมถึงได้จ้ำจี้จ้ำไชกันเช่นนี้ นี่เป็นตัวอกุศลตัวหยาบๆ เพราะว่า เรายังต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏฏะ เมื่อเราจะตาย จะเกิด เราก็เกิดในที่ดีๆ เถอะ อย่าให้ทนทุกข์ทรมาน เหมือนอย่าง ผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาทเลย นอกจาก คุณสมบัติ ตัวที่ 3 ซึ่งมักจะได้รับคำติเตียนนั้นแล้ว ยังมี

         คุณสมบัติอีกตัวหนึ่ง ตัวสุดท้าย ได้แก่ การขัดสนในลาภ และสักการะ เห็นไหม สังเกตดูให้ดี คนบางคน ทำไมขัดสน ในเรื่องลาภ คือทรัพย์สินเงินทอง หรือการเคารพของผู้อื่น ทำไมถึงได้บังเกิดขึ้นเช่นนี้ คนส่วนใหญ่เมื่อไม่พอใจ ได้รับผลวิบากตัวนี้ในปวัตติกาลแล้ว บางตนที่เป็นเกจิอาจารย์ ก็ทำพิธีกรรมอะไรขึ้นมานั้น นั่นเพราะผลที่เราได้รับจากเหตุ ที่เราได้ทำไว้ในอดีตนั้นเราก็ใช้ผลอันนั้น สร้างเหตุ คือความชั่ว ต่อไปอีก อันนี้เป็นการสมควรหรือไม่คิดเอาเอง

         นอกจากความหมาย การทำความชั่ว ทางใจ ในเรื่อง การอยากได้ของเขาเท่านี้ ใจของเรา เราคนเดียว นอกจากตัวอยากได้ของของเขาแล้ว อีกตัวหนึ่ง ยังมีอีก นั่นก็ได้แก่ ตัว พยาบาท ตัวพยาบาทนี้ ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่พอใจกัน เพราะว่าขาดสติ เนื่องจากตั้งอยู่ในความประมาท การที่เกิดความไม่พอใจกันนั้น สำนึกได้บ้างหรือเปล่า ตัวนี้ ความไม่พอใจเกิดขึ้นนั้น มันเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว เรายอมรับกันแล้วว่า กรรม คือ การกระทำ และวิบากกรรม คือผลที่จะได้รับ การที่เราไม่พอใจเช่นนั้น เราสำนึกตัวบ้างหรือเปล่าว่า ตัวนี้ เป็นตัววิบากกรรม เพราะเราทำความชั่วมาไว้ในอดีต ผลมันถึงได้เกิดขึ้นในปวัตติกาลนี้ ถ้าเรามีความสำนึกตัวนี้ ตัวสติ มันเกิดขึ้น แทนที่ เราจะสร้างเหตุต่อไปแล้ว เรายอมรับสภาวะ นั่นอะไร ก็คือ ยอมรับว่า ตัวนี้มันเป็นวิบากรรมของเรา ที่เราได้ทำความชั่วมาไว้ แต่นี้ต่อไป เราไม่ขอทำความชั่วเช่นนี้ ต่อไปอีก ตัวนี้อะไร กำไรชีวิตมันก็จะเกิดขึ้น เพราะวิบากมันให้ผลแล้ว มันก็จะยุติ เพราะเราไม่ได้สร้างเหตุ ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป แต่ถ้าตรงกันข้าม เราตั้งอยู่ ในความประมาท เพราะไม่มีสติแล้ว เรามีความโกรธเคืองแค้นเคืองเขา นั่น เราได้สร้างให้เกิดต่อไปอีกแล้ว ตัวนั้นเป็นตัวเหตุ เพราะผลที่ได้รับนั้น มันเรื่องของวิบาก มันคนละตัว เพราะการที่เราได้รับมันเช่นนั้น มันเป็นเรื่อง ที่เราได้ทำมาไว้แล้วในอดีต แต่ไหนๆ เมื่อเราจะสร้างเหตุกันต่อไปแล้ว ก็ขอให้สร้างให้ครบองค์เถอะ เราจะได้รับต่อไป ในปวัตติกาล ให้สมบูรณ์

         องค์ประกอบ ที่เราจะสร้างให้มันครบนั้น ตัวอะไร ความพยาบาทตัวนี้
         องค์ประกอบตัวแรก ก็คือ ปะระสัตโต หมายถึง มีสัตว์อื่นเพื่อทำลาย อ้ายคำว่า " สัตว์ " ในที่นี้ ไม่ใช่สัตว์สี่เท้าหรือสัตว์สองเท้าเท่านั้น เราก็เป็นสัตว์ เทวดาก็เป็นสัตว์ พรหมก็เป็นสัตว์ ความหมายของคำว่า " สัตว์ " ในที่นี้ คือ ความหมุนเวียนอยู่ในวัฏฏะนั่นเอง ถ้าเรามีความเข้าใจเช่นนี้แล้ว เราคงจะไม่ทำความชั่วตัวนี้ให้เกิดขึ้น พยาบาทตัวนี้ หมายถึง มีสัตว์อื่นเพื่อทำลาย นี่ จะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นคนก็ได้ ดี ชั่ว อะไรก็แล้วแต่ เมื่อเราไม่พอใจแล้วพยาบาตอาฆาตเขาเช่นนี้แล้ว มันก็ต้องมีตัวมีตน นอกจากอุปกรณ์ตัวที่ 1 แล้ว

         อุปกรณ์ตัวที่ 2 เมื่อเราจะทำก็ทำให้ครบ อุปกรณ์ตัวที่ 2 นี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสเอาไว้ว่า วินาสะจินตา หมายถึงว่า มีจิตคิดทำลายเพื่อให้สัตว์นั้น ประสบความพินาศ คิดดู คิดดู คนไทยเราทุกคน ต่างก็มีมารยาท แต่มารยาทนั้น ออกมาทางกายเท่านั้น ถ้าไม่พอใจแล้ว เราก็สร้างกรรมทางใจให้เกิดขึ้นได้อีก ตัวนี้ตัวอะไร เพราะเราตั้งอยู่ในความประมาทนั่นเอง ไม่ได้นึกถึงว่า เหตุใดเราจึงโกรธเขา ทำไมเขาจึงทำให้เราโกรธ เช่นนี้ เพราะอะไร เพราะเราอาจจะไม่พอใจหรือโกรธเขาเช่นนั้น อาจจะเกิดขึ้น ทางทวาร 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ได้ ถ้าเรามีความสำนึกตัว ระลึกอยู่ โดยวางใจเป็นอุเบกขา คือเป็นกลาง ไม่ว่า สิ่งที่ประสบนั้นทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ถ้าเราระมัดระวัง พยายามผดุงไว้ ให้เป็นอุเบกขา ไม่ยินดียินร้าย อะไรเช่นนี้แล้ว ตัวนั้นอะไร ก็คือ อินทรีย์สังวร ซึ่งเป็น ศีลวิสุทธิ ตัวที่ 2 มีกันได้ง่ายหรือไม่ ถ้าเราไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ถ้าเรามีสติ ศีลตัวนี้ มันก็เกิดขึ้น เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ทำลายตัววิบากกรรมตัวนั้น ไม่ให้เราสร้างกรรมขึ้นได้ อีกต่อไปนั่นเอง

         แต่ที่เราพูดมานี้ ไหนๆ เมื่อเราจะสร้าง ก็สร้างให้มันครบองค์ ทั้ง 2 ตัวนั้น เมื่อเราสร้าง ให้มันครบแล้ว ผลที่จะได้รับ ในปวัตติกาล แห่งความพยาบาท โดยไม่เกี่ยวข้องกับที่เราตายแล้ว เราจะตกอยู่ในทุคติภูมิหรือไม่ ไม่สนใจ เพราะว่า อ้ายนี่ จริงหรือไม่จริงไม่รู้ หัดเอาเอง แต่ตัวนี้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้แล้ว แม้แต่เราตายแล้ว เราจะตกไปอยู่ ในนรก หรือทุคติภูมิ 4 แม้แต่เรากลับมาสู่สุคติภูมิ เราก็จะได้รับผลวิบากตัวนี้ เรียกว่า ปวัตติกาล ผล

         คุณสมบัติตัวที่ 1 ในเรื่องความพยาบาทนั้น ตัวไหน ก็คือ การเกิดมารูปทราม นั่นเอง จงสังเกตดูให้ดี คนเราบางคน รูปร่างก็สวยงาม บางคนก็แย่ไปเลย รูปร่างหน้าตาเช่นนั้น และในทำนองเดียวกัน ไม่ใช่แต่มนุษย์เท่านั้น แม้แต่อมนุษย์ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าพวกเราประพฤติธรรมปฏิบัติธรรม อันสมควรแก่ธรรมแล้ว เราก็จะแลเห็นได้ว่า เทวดาในชั้นต่ำนั้น แยกออกไปจากกันมากมายก่ายกองเหลือเกิน นี่ พิจารณาดู ตัวนี้เป็นผลวิบากกรรม ที่จะต้องได้รับ ในปวัตติกาล เป็นตัวที่ 1

         ตัวที่ 2 นี่ ในชีวิตของผม ผมได้รับมา ตั้งแต่ร้องอุแว้มา จนอายุตั้ง 50 กว่าแล้ว มันถึงได้สูญสลายหายไป เพราะความระยำอัปรีย์ของผม ที่ผมสร้างมาตัวนี้ นั่น ได้แก่อะไร มีโรคภัยเบียดเบียน โรคภัยเบียดเบียน นี่ ผมได้รับมาตั้งตลอดในชีวิต ตั้งแต่ร้องอุแว้มาเลย กระดุกกระดิกแทบไม่ได้ จนถึงอายุ 50 กว่า มันก็สูญสลายหายไป เวลานี้แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้ว ไม่เคยมีอ้ายความเจ็บปวดเช่นนี้ ฉะนั้นมันจะเป็นจริงหรือไม่ พิจารณาดูเอาเอง ถ้าเราทำความชั่ว เราก็ต้องได้รับ เมื่อได้รับ เราอย่าไปสร้างมันต่อไปอีกเลย รับมันซะให้หมด ถ้ามันหมดแล้ว เราไม่สร้างต่อไปอีก เราก็ไม่ต้องทุกข์ ยาก ลำบากกันอีกต่อไป นอกจากคุณสมบัติตัวที่ 1 ได้แก่รูปทรามแล้ว คุณสมบัติตัวที่ 2 ได้แก่ มีโรคเบียดเบียนแล้ว

         คุณสมบัติตัวที่ 3 นั่นได้แก่อะไร อายุสั้น อายุสั้น พวกเรานี่สังเกตดูให้ดี เราคบค้ากับคนนี่ บางทีคนเราเกิดมานี่ ยังเด็กๆอยู่ ปุบปับก็ตายไปแล้ว เพราะเหตุไร บางคนยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ก็ตายไป นี่ เป็นคุณสมบัติตัวที่ 3 ในการที่อาฆาตพยาบาท ซึ่งเราได้รับผลมาแล้ว อาจจะในนรก หรืออะไรก็แล้วแต่ มาในปวัตติกาล เรายังต้องรับอีก ถ้าเรามีสติปัญญาแล้ว เราจะไม่สร้างต่อไป มันก็จบเห่กัน มันก็ไม่เกิดขึ้นอีก แต่คนส่วนใหญ่ 99 เปอร์เซนต์ สร้างกันต่อไปอีก นี่ นอกจากนี้แล้ว

         คุณสมบัติตัวที่ 4 ที่จะได้รับ ถ้าเราตาไม่บอดหูไม่หนวก นั่น ได้แก่อะไร หนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์นั่นเอง เราจะเห็นได้ว่า ที่ออกมาเดี๋ยวนี้ออกมาทุกวัน นั่นอะไร ตายโดยถูกประทุษร้าย ถูกฆ่าตายนั่นแหละ เห็นไหม ตัวนี้เพราะเหตุไร ในอดีตเราได้สร้างแล้ว ซึ่งความชั่วเช่นนี้ เราถึงต้องได้รับผล กันเช่นนี้ ฉะนั้นพวกเรา ที่มาพบปะเจอะเจอกันนี้ อะไรๆ มันเกิดขึ้น ถ้าเรามีสติระลึกรู้แล้ว เราอย่าสร้างมันต่อไปเลย ถ้าเราสร้างมันต่อไปแล้ว ผลมันก็จะต้องได้รับ อย่างไม่มีปัญหา แต่ประการใด

         ตามที่ได้กล่าวมานี้ เป็นตัวหยาบๆ ทางกาย วาจา และทางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหลืออีกตัวหนึ่ง ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเอาไว้นั้น ตัวนี้ มันยาก ยากที่จะทำความเข้าใจกัน มันหยาบก็มี ละเอียดก็มี ทั้งนี้ เพราะเหตุไร เพราะว่า ในเรื่อง ปัญหาในเรื่องตัวนี้แหละ ซึ่งคนเราเป็นคนไทยส่วนใหญ่ ได้ทำให้เกิดขึ้นแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้สำนึกตัว ไม่รู้ตัวแต่ประการใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความชั่วทางใจตัวนี้ เป็นตัวสุดท้าย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สำนึกตัว ว่าเรามีความชั่วตัวนี้หรือเปล่า ความชั่วตัวนี้ มันเข้าใจกันได้ยากเหลือเกิน ตัวนั้น ความชั่วตัวนี้ ได้แก่อะไร ถ้าเราทำลงไปแล้วอาจจะหนักก็ได้ อาจจะเบาก็ได้ ที่ผมว่าหนักนั้น หมายถึงอะไร หนัก ก็ก้าวเข้าถึงอเวจีมหานรก ถ้าเบา เราก็เดินไปในทางที่ผิดๆ ตัวนี้ ก็ได้แก่ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาตัวนี้ หมายถึง ความผิด ความผิด ไม่ใช่ผิดทางโลกนะ ผิดนี้หมายถึงผิดทางธรรม ส่วนตัวที่ผิดนั้น หมายถึง ความคิดของความเห็นของตัวเอง ฉะนั้นมิจฉาทิฏฐิตัวนี้ ก็ได้แก่ ความเห็นผิด นั่นเอง ความหมายของคำว่าความเห็นผิดในที่นี้ เป็นความเห็นผิดในทางธรรม ไม่ใช่เรื่องของทางโลก ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว ส่วนใหญ่คนมีความเห็นผิด แต่ไม่ได้สำนึกตัว แล้วก็สร้างความชั่วกันต่อไปอีก ไม่ว่าโกนหัวหรือไม่โกนหัว ส่วนใหญ่มีเช่นนี้

         ความเห็นผิด หรือมิจฉาทิฏฐิ จงจำไว้ มันจะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ ถ้าคุณสมบัติมันไม่ครบแล้ว ผลมันก็ไม่ออกมาเช่นนั้น

         คุณสมบัติ ตัวที่ 1 นั่น ได้อะไร ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่ผิด ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่ผิด พิจารณา พิจารณาดูให้ดี ความว่า " ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่ผิด " นี้ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว การประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม อันสมควรแก่ธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ทำกันได้ยากลำบาก แสนลำบากเหลือเกิน แต่บังเอิญ พวกเรานั้น แม้แต่จะมีความตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่ผิด ซึ่งเรียก ตามภาษาธรรมะ เรียกว่า วัตถุโน วิปะริตตา นั้น มันมีกันอยู่ ไม่ได้ติดตลอดไป ทั้งนี้ เพราะเหตุไร เพราะว่า ความมีมานะของเขานั้น ได้ลดหย่อนลง ตัวตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่ผิดนี้ ถ้าเรามีอยู่ตลอดไปแล้ว มันก็แย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราเปลี่ยน กลับใจซะใหม่ ปัญหามันก็ไม่เกิดขึ้น

         ทีนี้ องค์ประกอบ ตัวที่ 2 ได้แก่ ตะถา ภาเวนะ อะปะฐานัง หมายความว่า เชื่อ และยินดี พอใจในอารมณ์นั้น
         เห็นไหม ครบองค์ละทีนี้ มีความเห็นผิดแล้ว ยังเชื่อ และยินดีด้วย พอใจด้วย อันนี้ละครบองค์ละ เมื่อครบองค์เช่นนี้แล้ว ถ้าเราจะมีความเห็นผิดเช่นนั้น เราก็ทำให้มันครบองค์ เราจะได้พิสูจน์กันได้ ว่าอะไรมันเป็นอะไร

         เมื่อเราเข้าใจ ในองค์ธรรม เช่นนี้แล้ว เราก็ มาทำความเข้าใจกันซะหน่อยหนึ่งว่า ความเห็นผิดนั้น หมายถึงอะไร ถ้าจะพูดตามภาษาธรรมะ ก็บอกว่า มิจฉา ปัสสะตีติ มิจฉาทิฏฐิ หมายความว่า ธรรมชาติใด ที่มีความเห็นวิปริต ผิดไปจากความจริง ตัวนี้แหละ เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ คุณสมบัติของเราทุกคนมีอยู่แล้ว คือ เพื่อนรักเพื่อนเกลอของเรา 1 ใน 52 นั่นเอง คือ ทิฏฐิเจตสิก นั่น ยังไงเล่า ฉะนั้นเราจะคบมันต่อไป หรือจะไม่คบมัน ถ้าไม่คบมันเราก็ต้องคบฝ่ายดี เพราะตัวนี้เป็นอกุศลเจตสิก 1 ใน 14 ดวงนั่นเอง ความหมายของคำว่า " มิจฉาทิฏฐิ " นั้น มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายประการ

         ถ้าเราจะดูให้ดีแล้ว ตัวในพื้นฐานต้นๆ ผู้ที่ประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมก็ยังมีอยู่ ตัวนั้นตัวตื้นๆ ก็เรียกว่า สักกายทิฏฐิ คือ ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 นั่นเอง ตัวนี้ ก็เป็นตัวความเห็นผิดตัวหนึ่งเหมือนกัน

         อีกตัวหนึ่ง ได้แก่ มิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมีรายละเอียด อยู่มากมาย อันได้แก่ จำแนกเป็นสาขาใหญ่ๆ 2 สาขา คือ
         ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ ประเภทหนึ่ง อีกประเภทหนึ่ง ได้แก่
         อปรันตกัปปิกทิฏฐิ อีกประเภทหนึ่ง
สองตัวนี้แยกกันได้ออกเป็น 62 ประเภท อย่างหยาบๆ

         ตัวที่เป็น ปุพพันตกัปปิกทิฏฐินั้น นั่นได้แก่ ไม่เชื่อเหตุ หรืออดีต แต่ ละเอียดลงไป ซึ่ง
         ตัวที่ 1 เรียกว่า เชื่อว่าโลกเที่ยง ตัวนี้ก็ได้ 4 ตัว
         หรือ บางอย่างเที่ยงก็ได้ ไม่เที่ยงก็ได้ อีก 4
         เห็นว่า มีที่สุด ไม่มีที่สุดก็ได้
         อีกตัวหนึ่ง เห็นว่า ยังซัดส่ายไป ไม่ตายตัว คือไม่แน่นอนก็ได้
         อีกตัวหนึ่ง เห็นว่า เกิดขึ้นลอยๆ ก็ได้
ตัวนี้ ส่วนใหญ่พวกเราไม่มีกัน


         สัญญีวาททิฏฐิ 16 อันได้แก่ เห็นว่า อัตตาไม่เสื่อมสลาย ตัวนี้เมื่อตายแล้ว มีสัญญาให้เรารู้ นี่ ละเอียดเข้าไปอีก


         อีกตัวหนึ่ง อสัญญีวาททิฏฐิ 8 มีอัตตา เห็นว่า มีอัตตา ไม่เสื่อมสลาย ตายแล้ว ไม่มีสัญญา นี่ ผิดก็ได้ ถูกก็ได้


         อีกตัวหนึ่ง เนวสัญญีนาสัญญีวาททิฏฐิ อีกตัวหนึ่ง เห็นว่า อัตตาไม่เสื่อมสลาย เมื่อตายแล้ว มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่่ ตัวนี้แหละ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัส ก่อนที่จะโปรดสัตว์ทั้งหลาย ที่เมื่อพระองค์ตรัสรู้ จะไปโปรดอาจารย์ของท่าน เพราะอาจารย์ของท่านทำอรูปฌานได้แล้ว บังเอิญตายไปก่อนที่จะโปรด เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเป็นอรูปพรหม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า ฉิบหายแล้ว นั่น เพราะอะไร เพราะเขาเข้าใจว่าบรรลุแล้ว ตัวอรูปฌานนี้มันเป็นโลกียธรรมอยู่ เมื่อนานเข้าๆ มันก็เสื่อมสลายหายไป มันก็ต้องวนเวียนกันอยู่นั่นอีก นี่ ฉะนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า ฉิบหายแล้ว นั่นเอง


         นอกจากนี้แล้ว อีกตัวหนึ่ง เรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ คือ เห็นว่าตายแล้วสูญ


         อีกตัวหนึ่ง พวกเรา ถ้าหูไม่หนวก คงจะได้ยินวิทยุ ออกมา ตัวนี้ได้แก่อะไร ทิฏฐธัมมนิพพานวาททิฏฐิ เห็นว่านิพพานมีในปัจจุบัน นี่ไงล่ะ เห็นไหมล่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ แต่บังเอิญ พวกเรานี่ไม่ได้โกนหัวกัน นะ เขาเข้าใจอย่างนี้ ตัวนี้ฉิบหายแล้ว พุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้ นี่ ยังเบาอยู่ ยังเบาอยู่


         มาตัวที่ 3 ตัว นิยตมิจฉาทิฏฐิ ตัวนี้ อยากจะขอร้องพวกเราทั้งหลาย อย่าไปสร้างให้เกิดขึ้นเลย เพราะนิยตมิจฉาทิฏฐินี้ ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว ไม่มีอะไรเลย นิยตมิจฉาทิฏฐินี่ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
         ประเภทที่ 1 เรียกว่า อเหตุกทิฏฐิ คือ ไม่เชื่อในเหตุ ไม่เชื่อยังไง เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายที่กำลังเป็นไปอยู่นั้น ไม่ได้อาศัยเนื่องมาจากเหตุแต่ประการใด คล้ายๆ ว่า เราเกิดมานี่ เราก็ไม่ได้เกิดด้วยเหตุ ที่เหตุนี่หมายความว่า อะไร เราเป็นมนุษย์ เราตกอยู่ในสุคติภูมิ ถ้าเราไม่ได้ทำกามาวจรกุศล เราก็ไม่เกิดมาอย่างนี้ ตัวนี้ นั่น เชื่ออะไร ไม่เชื่อในเหตุ ฉะนั้น เมื่อไม่เชื่อในเหตุนี้ เราจะทำกรรมอย่างไงก็ทำลงไป ไม่เชื่อ ตัวนี้ ระวังให้ดี ขอร้องว่า อย่าไปสร้างให้เกิดขึ้นเลย
         ตัวที่ 2 ได้แก่ นัตถิกทิฏฐิ หมายความว่า มีความเห็นว่า อะไรๆ ก็ตาม ผลจะได้รับนั้นย่อมไม่มี หมายความว่า ไม่เชื่อในผล เราจะทำกรรมดีหรือกรรมชั่วแต่ประการใด ผลมันก็ไม่เกิด เวลานี้คนเราส่วนใหญ่ปรากฎออกมาแล้ว ฉะนั้นผู้ที่เขาทำลายชาติ ศาสนา ตัวนี้มันถึงได้ออกมา
         และ ตัวนี้ ถ้าพวกเรา พิจารณาดูให้ดี ผมไม่ได้เอารูป มาให้พวกเราดู เพราะว่า เอ้า ยกตัวอย่าง ตัวผมเองก็แล้วกัน สั่งสอน พวกคุณทั้งหลาย ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ มันอยู่ที่ของตัวเราเองเท่านั้น สวรรค์ไม่มีจริง นรกไม่มีจริง อย่าไปสนใจมันเลย ผมสั่งสอนคุณเช่นนี้ ประมาณสัก 2 เดือนผมก็รถคว่ำตายลงไป ตายลงไปแล้ว แทนที่ผมจะอยู่บ้าน กลับไปอยู่กับพระเทวทัต ไม่รู้ เรียกว่าอะไรไม่รู้ จริงมั้ยจริงไม่รู้ พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน แต่ผมขณะนั้นไม่ได้เหมือนพวกคุณขณะนี้ เพราะขณะนี้ผมยังมีผมอยู่ ตอนนั้นผมโกนหัวคิดเอาเองก็แล้วกัน นี่ เรื่องที่ 1 เราพิสูจน์กันได้

         และ เรื่องที่ 2 พวกเราอีกนั่แหละ ที่เขียน เขียน เขียน เขียนอย่างนี้แล้วก็ไปติดไว้ พวกคุณติดกันไว้ ผมก็ไปชี้ให้ดูว่า ไม่จริง ไม่จริงยังไง ธรรมที่เราแสดงออกไปนั้น มันไม่มีจริง เป็นการหลอกลวงกัน มีไม่จริง ผมว่าไปอย่างนี้ ผมชี้อย่างนี้ ให้พวกคุณดู ในครั้งแรก อ้ายมือที่ผมชี้ มันก็เป็นมะเร็ง แต่ผมก็ไม่ได้สำนึก ที่คุณมาติดเอาไว้ ผลสุดท้าย เมื่อผมตายไปแล้ว ผมก็ไปอยู่ กะเป็นญาติกะพระเทวทัตอีกแหละ ตามดูซิ จริงไม่จริง นี่ แต่ขณะนั้น ผมไม่เหมือนพวกคุณ เพราะผมใช้มีดโกนโกนไป คิดเอาเอง

         นี่ เป็นทิฏฐิ 2 ตัวนี่ ตัวหนึ่ง ไม่เชื่อในเหตุ
                             ตัวอีกตัวหนึ่ง ไม่เชื่อในผล
         อีกตัวหนึ่ง เรียกว่า อกริยทิฏฐิ หมายความว่า ไม่เชื่อทั้งเหตุ ไม่เชื่อทั้งผล นั่น หมายความว่าไร บุญ ถ้าไม่เชื่อในเหตุ บุญไม่มี บาปไม่มี ถ้าไม่เชื่อในผล เราทำดี ก็คงไม่ได้ดี ทำชั่ว ก็คงไม่ได้ชั่ว นี่ และตัวที่ 3 นี่ ไม่เชื่อทั้งเหตุ ไม่เชื่อทั้งผล นั่น บุญไม่มี บาปไม่มี ก็คือกรรมไม่เป็นของเป็นจริง วิบากกรรมไม่เป็นของจริง นรกไม่จริง สวรรค์ไม่จริง
         ตัวนี้ ขอร้องพวกเราทุกๆคน ทั้ง 3 ตัวนี้ เราจะทิฏฐิอย่างไหนก็แล้วแต่ อย่าเห็นตัวนี้เข้าเลย ประเดี๋ยวก็ จะไปเป็นญาติกะผม เหมือนผมเป็นญาติกะเทวทัตนั้น เราอย่าทำกันเช่นนี้ ทำไมผมถึงได้เตือนคุณเช่นนี้ เพราะว่าถ้าเราก้าวเข้าไปแล้ว แม้แต่ผมเอง พ้นจากการเป็นญาติ ของเทวทัตมาแล้ว มาเกิดเป็นมนุษย์นี่ ซึ่งเรียกว่าปวัตติกาล คุณสมบัติที่จะได้รับอีก 4 ตัว แต่คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ตัวผมเองอีกนั่นแหละ

        ตัวที่ 1 คุณสมบัติ ตัวที่ 1 คือ ห่างไกลแห่งรัศมีแห่งพระธรรม ห่างไกลจากรัศมีแห่งพระธรรม จะไม่สามารถก้าวเข้าถึงธรรมะได้แต่ประการใด ถ้าเรามีความเห็นผิด ทั้ง 3 ตัวดังนี้ เมื่อพ้นจากตารางมาแล้ว เราก็เข้าไม่ถึง
        ฉะนั้นจงสังเกตดู ถ้าพวกเราตาไม่บอดหูไม่หนวก ผมว่าพวกคุณทั้งนั้น ทำไม่ถูก ทำผิด ต้องทำตามเกจิอาจารย์อย่างนั้นอย่างนี้ นั่น อะไร คิดดูก็แล้วกัน อ้ายเรานี่ พวกเรานี่ มีแต่ความงมงาย เลอะเทอะเปรอะเปื้อน งมงาย อย่างไร สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ตรัสสั่งสอนมา 2524 ปีกว่าแล้ว เรายังงมงาย เชื่อตามโบราณ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ทำไมเราไม่เชื่อ ตามคำสอนใหม่ๆ ซึ่งเขาเป็นใหญ่เป็นโตกัน มีชื่อมีเสียง ทำไมเราไม่เชื่ออย่างนั้น พิจารณาดูให้ดี เพราะว่า พวกเราไม่เชื่อกัน มันถึงได้ตกระกำลำบาก อยู่อย่างนี้ ถ้าม่ายอย่างงั้น เราก็คงจะนิพพานกันไป หมดแล้วทุกๆคน เฮ้อ แต่ผมนี่มันไม่นิพพานหรอก มันมีแต่นิพกระด้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลตัวทิฏฐิอันนี้แหละ ได้แพร่สะพัดเป็นไปหมดแล้ว ทั่วทั้งประเทศ แล้วเราพิจารณาดูให้ดี บ้านเราจะอยู่กันได้ไหม ถ้าจะอยู่ มันก็คงจะเปลี่ยน พิธีการกันไป แทนที่เราจะมานั่ง สนทนาวิสาสะกันอยู่อย่างนี้ เราก็จะต้อง ไปเป็นขี้ข้ารับใช้เขาต่อไป คิดเอาเอง หมายความว่าอะไร

         ตัวที่ 2 ที่ไม่อยากให้พวกเรา สร้างทิฏฐิทั้ง 3 นั้น ก็คุณสมบัติตัวที่ 2 นั้น ก็คือ ปัญญทราม คำว่า " ปัญญาทราม " ในตัวนี้ หมายถึง ปัญญาแห่งธรรมะ ไม่ใช่ปัญญาในทางโลก เพราะปัญญาในทางโลก จะไปคดไปโกงเขายังไงก็แล้วแต่ และผลที่จะได้รับ จะเข้าคุกเข้าตารางยังไงก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง นี่ เป็นตัวที่ 2 ตัวปัญญาทราม

         ตัวที่ 3 นี้ ผมไม่รู้ จริงหรือไม่จริง แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างนี้ว่า ปฏิสนธิในพวกคนป่า ที่ไม่รู้อะไร คือ ในกลุ่มของคนโง่ นั่นเองแหละ
         นี่ จริงหรือไม่จริงไม่รู้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้อย่างนี้ จึงขอร้องพวกเรา ทำอะไร มีความเห็นอะไร ก็มีความเห็นเถอะ แต่อย่าปฏิเสธนะว่า บุญไม่มีจริง บาปไม่มีจริง นรกไม่มีจริง สวรรค์ไม่มีจริง ถ้าไม่มีจริงเช่นนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กล่าวสั่งสอนเราไว้ ก็ไม่จริงน่ะซิ ที่ว่า อนันตริยกรรม น่ะ ตัวที่เราฆ่าพ่อฆ่าแม่นั่นน่ะ จริงหรือไม่จริง ถ้าฟังวิทยุดู เพียงแต่มียาเสพติด พ่อแม่มาห้ามเข้า แทงพ่อแม่ตาย วิ่งหนีเพื่อไม่ให้ใครเขารู้ นั่นอะไร ล้มโครม ตาย รถทับตายก็มี สะดุดอะไรคอหักตายก็มี นี่ วิทยุออกข่าวมาอย่างนี้ ตัวนี้ อนันตริยกรรม จริงไม่จริง โดยยังไม่มีใครมาจับ ใครมาข้องอะไรเลย ทำไมตายไปเองปุบปับ เสร็จไปเลย นี่ เป็นอย่างนี้ นอกจากคุณสมบัติตัวที่ 3 แล้ว อยากจะเตือนพวกเรา คือ

         สมบัติ ตัวที่ 4 เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน นี่ ฉะนั้นขอให้พวกเรา พิจารณาดูให้ดี แล้วเราก็อย่าทำอย่างนี้กันต่อไปเลย จงเดินในทางที่ถูก ที่ควรเถอะ

         จงพิจารณาตัวของเราเองเถอะ ฉะนั้นจึงได้แกล้งเขียนทิ้งไว้ในกระดานดำที่ว่า เพราะ " พวกเราขาดความสุจริตใจ และความจริงใจในสัจจธรรม " นั่นเอง การขาดความสุจริตใจ หรือจริงใจในสัจจธรรม ข้อหนึ่ง ตัวนี้ได้เขียนเอาไว้แล้ว แต่พวกเราไม่ได้มีความสนใจ บังเอิญที่เรามาพบปะเจอะเจอกันนี้ ตัวนี้หมายถึงอะไร แล้วไปคิดเอาเอง วันนี้ผมจะยังไม่พูดอะไร

                           ประการที่ 1 ขาดเจตนา ที่เรามาพบปะเจอะเจอกัน
                           ประการที่ 2 ขาดสติ ปัญญา ในการ ก่อนที่เราจะทำอะไรกัน
                           ประการที่ 3 ขาดความตั้งใจในการเสียสละ ตามฐานะ
                           ประการที่ 4 ทำอะไร ไม่ได้ประกอบไปด้วยทิฏฐุชุกรรม คือ ความเห็นชอบ
                           ประการที่ 5 ขาดความเคารพธรรม อันสมควรแก่ธรรม
                           ประการที่ 6 ขาดการกระทำ อันสมควรแก่ฐานะ
                           ประการที่ 7 ไม่ได้ทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ 3 สถาบัน ด้วยความสุจริตใจ
                           ประการที่ 8 ขาดการชดใช้

         นี่ เป็นความหายของคำว่า " ขาดความสุจริตใจ และความจริงใจ ในสัจจธรรม " แต่พวกเราทั้งหลาย ต่างก็มีสติ และปัญญา ผมคนเดียวเท่านั้น ที่ตั้งอยู่ในความประมาท จึงไม่รู้ภาษาเหมือนอย่างพวกคุณทั้งหลาย จึงขอยุติกัน เพียงแค่นี้.