พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 275 หน้า 211-212 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
กายานุปัสสนา
อิริยาบถบรรพ
- [ ๒๗๕ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุเมื่อเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเดิน หรือเมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า
เรายืน หรือเมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง หรือเมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน อนึ่งเมื่อเธอนั้น
เป็นผู้ตั้งกายไว้ แล้วอย่างใดๆ
ก็ย่อมรู้ชัดอาการกายนั้น อย่างนั้นๆ ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกายเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ
ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียง
สักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ
อยู่อย่างนี้
จบข้อกำหนดว่าด้วยอิริยาบถ
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 298-302 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
อิริยาบถบรรพ
- พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางแห่งลมหายใจเข้า-ออกอย่างนี้แล้ว
บัดนี้ เพื่อจะ
ทรงจำแนกโดยทางแห่งอิริยาบถจึงตรัสว่า ปุน จปรํ อีกอย่างหนึ่งดังนี้เป็นต้น
ในอิริยบถนั้น พึงทราบความว่า
แม้สัตว์ดิรัจฉาน เช่น สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกเป็นต้น เมื่อเดินไปก็รู้ว่า ตัวเดิน
ก็จริงอยู่ แต่ในอิริยาบถนั้น มิได้
ตรัสหมายเอาความรู้เช่นนั้น เพราะความรู้เช่นนั้น ละความเห็นว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล
เป็นตัวตนไม่ได้ เพิกถอนความเข้าใจว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนไม่ได้ ไม่เป็นกัมมัฏฐาน
หรือสติปัฏฐานภาวนาเลย
ส่วนการรู้ของภิกษุ ( ผู้เจริญกายานุปัสสนา ) นี้ ย่อมละความเห็นว่าเป็นสัตว์
เป็นบุคคล เป็นตัวตน เพิกถอนความเห็นว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ เป็นทั้งกัมมัฏฐาน
และเป็นสติปัฏฐานภาวนา และ
คำที่ตรัสหมายถึง ความรู้ชัดอย่างนี้ว่า ใครเดิน การเดินของใคร เดินได้เพราะอะไร
แม้ในอิริยาบถอื่น
มีการยืนเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน
- จะวินิจฉัย ในปัญหาเหล่านั้น คำว่า ใครเดิน ความว่า
ไม่ใช่สัตว์หรือบุคคลไรๆ เดิน คำว่า การเดินของใคร
ความว่า ไม่ใช่การเดินของสัตว์ หรือบุคคลไรๆ เดิน คำว่า เดินได้เพราะอะไร
ความว่า เดินได้เพราะการแผ่
ไปของวาโยธาตุอันเกิดแต่การกระทำของจิต เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้
คือจิตเกิดขึ้นว่าเราจะเดิน
จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ก็ทำให้เกิดวิญญัติ ความเคลื่อนไหว การนำสกลกายให้ก้าวไปข้างหน้า
ด้วยความ
ไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแก่การกระทำของจิต เรียกว่าเดิน แม้ในอิริยาบถอื่น
มียืนเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน
ก็ในอิริยาบถยืนเป็นต้นนั้น จิตเกิดขึ้นว่า เราจะยืน จิตนั้นทำให้เกิดวาโยธาตุๆ
ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว
การทรงสกลกายตั้งขึ้นแต่พื้นเท้าเป็นที่สุด ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต
เรียกว่า ยืน
จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนั่ง จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ก็ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว
ความคู้กายเบื้องล่างลง
ทรงกายเบื้องบนตั้งขึ้น ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่านั่ง
จิตเกิดขึ้นว่า
เราจะนอน จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว การเหยียดกายทั้งสิ้นเป็นทางยาว
ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่า นอน เมื่อภิกษุรู้ชัดอย่างนี้
ย่อมมีความคิดเห็น
อย่างนี้ว่า - เขากล่าวกันว่า สัตว์เดิน สัตว์ยืน แต่โดยอรรถแล้ว สัตว์ไร ที่เดิน
ที่ยืนไม่มี ประดุจคำที่กล่าวว่า
เกวียนเดิน เกวียนหยุด แต่ธรรมดาว่า เกวียนไรๆ ที่เดินได้ หยุดได้เอง หามีไม่
ต่อเมื่อนายสารถีผู้ฉลาด
เทียมโค ๔ ตัว แล้วขับไป เกวียนจึงเดิน จึงหยุด เพราะฉะนั้น คำนั้นจึงเป็นเพียงบัญญัติสมมุติเรียกกันฉันใด
กายเปรียบเหมือนเกวียน เพราะอรรถว่า ไม่รู้ ลมที่เกิดจากจิต
เปรียบเหมือนโค จิตเปรียบเหมือนสารถี
เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า เราจะเดิน เราจะยืน วาโยธาตุที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวก็เกิดขึ้น
อิริยาบถมีเดินเป็นต้น
ย่อมเป็นไปเพราะความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต ต่อแต่นั้น สัตว์ก็เดิน
สัตว์ก็ยืน เราเดิน
เรายืน เพราะเหตุนั้น คำนั้น จึงเป็นเพียงบัญญัติสมมุติเรียกกัน ฉันนั้นเหมือนกัน
ด้วยฉะนั้น พระโบราณจารย์
จึงกล่าวว่า
- นาวา มาลุตเวเคน ชิยาเวเคน เตชนํ
- ยถา ยาติ ตถา กาโย ยาติ วาตาหโต อยํ
- ยนฺตํ สุตฺตวเสเนว จิตฺตสุตฺตวเสนิทํ
- ปยุตฺตํ กายยนฺตมฺปิ ยาติ ฐาติ นิสีทติ
- โก นาม เอตฺถ โส สตฺโต โย วินา เหตุปจฺจเย
- อตฺตโน อานุภาเวน ติฏฺเฐ วา ยทิ วา
วเช
- เรือแล่นไปได้ด้วยกำลังลม ลูกธนูแล่นไปด้วยกำลังสายธนูฉันใด
กายนี้อันลมนำไป จึงเดิน
ไปได้ฉันนั้นแม้ยนต์คือกายนี้ อันปัจจัยประกอบแล้ว เดิน ยืน และนั่ง ได้ด้วยอำนาจสายชัก
คือจิตเหมือนเครื่องยนต์ หมุนไปได้ด้วยอำนาจสายชักฉะนั้นนั่นแหละ
- ในโลกนี้สัตว์ใด เว้นเหตุปัจจัยเสียแล้ว ยังยืนได้ เดินได้
ด้วยอานุภาพของตนเอง สัตว์นั้น
ชื่อไรเล่า จะมีดังนี้
- เพราะฉะนั้นพึงทราบว่า ภิกษุนี้ กำหนดอิริยาบถเดินเป็นต้น ซึ่งเป็นไปได้ด้วยอำนาจเหตุปัจจัย
เท่านั้น
อย่างนี้ เมื่อเดินก็รู้ว่าเราเดิน เมื่อยืนก็รู้ว่าเรายืน เมื่อนั่งก็รู้ว่าเรานั่ง
เมื่อนอนก็รู้ว่าเรานอน ดังนี้
- คำว่า ก็หรือ กายของเธอตั้งอยู่โดยอาการใดๆ ก็รู้กายนั้นโดยอาการนั้นๆ
นี้เป็นคำกล่าวรวมอิริยาบถ
ทั้งปวง มีคำอธิบายว่า หรือกายของเธอดำรงอยู่โดยอาการใดๆ ก็รู้ชัดกายนั้นโดยอาการนั้นๆ
คือกายนั้นดำรง
อยู่โดยอาการเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน กายดำรงอยู่โดยอาการยืน นั่ง นอน ก็รู้ชัดว่า
เรายืน เรานั่ง เรานอน
อิริยาบถภายในภายนอก
- คำว่า ภายใน หรือดังนี้ ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายด้วยการกำหนดอิริยาบถ
๔ ของตนเอง
อย่างนี้อยู่ คำว่า หรือภายนอก ความว่า ด้วยการกำหนดอิริยาบถ ๔ ของคนอื่นอยู่
คำว่า ทั้งภายใน
ทั้งภายนอก ความว่า พิจารณาเห็นกายในกาย ด้วยการกำหนดอิริยาบถ ๔ ของตนเองตามกาล
ของคนอื่น
ตามกาลอยู่ ก็ในคำบาลีเป็นต้นว่า พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิด คือพึงนำความเกิด
และความเสื่อม
แห่งรูปขันธ์ออกแสดง โดยอาการทั้ง ๕ ตามนัยบาลี เป็นต้นว่า รูปเกิด เพราะอวิชชาเกิด
ดังนี้ พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงหมายเอาความเกิด และความเสื่อมนั่นแล ตรัสว่า พิจารณาเห็นธรรม คือ
ความเกิดดังนี้
เป็นต้นในที่นี้
- คำบาลีเป็นต้นว่า สติของเธอก็ปราฏชัดว่า กายมีอยู่ ความว่า
สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า
กายแลมีอยู่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร
ไม่ใช่ของใคร คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์
ท่านอธิบายว่า สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น
หาใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ
ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ ขึ้นไป
และประมาณแห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า
ไม่ถูกกิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า
ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
สติกำหนดอิริยาบถเป็นอริยสัจ ๔
- แม้ในอิริยาบถบรรพนี้ สติที่กำหนดอิริยาบถ ๔ เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติที่
กำหนดอิริยาบถ ๔ นั้นให้ตั้งขึ้นเป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง
เป็นนิโรธสัจ อริยมรรค
ที่กำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัยมีนิโรธเป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจ ภิกษุผู้โยคาวจรขวนขวายโดยทางสัจจะ
๔ อย่างนี้
ย่อมบรรลุพระนิพพานดับทุกข์ นี้เป็นทางนำออกจากทุกข์ จนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนด
อิริยาบถ ๔
รูปหนึ่งฉะนี้แล
จบอิริยาบถบรรพ