พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 289 หน้า 222-223 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
จิตตานุปัสสนา
- [ ๒๘๙ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อนึ่ง จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ หรือจิตไม่มีราคะ ก็รู้ชัดว่า
จิตไม่มีราคะ หรือจิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโทสะ หรือจิตไม่มีโทสะ ก็รู้ชัดว่า
จิตไม่มีโทสะ หรือจิตมีโมหะ
ก็รู้ชัดว่า จิตมีโมหะ หรือจิตไม่มีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโมหะ หรือจิตหดหู่
ก็รู้ชัดว่า จิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน
ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน หรือจิตเป็นมหรคต ( คือ มหัคคตะจิต คือถึงความเป็นใหญ่หมายเอาจิตที่เป็นฌาน
หรือ
เป็นอัปปมัญญา พรหมวิหาร ) ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า
จิตไม่เป็นมหรคต
หรือจิตเป็นสอุตตระ ( คือ กามาวจรจิต ซึ่งมีจิตอื่นยิ่งกว่า ไม่ถึงอุปจารสมาธิ
) ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นสอุตตระ
หรือจิตเป็นอนุตตระ ( จิตที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจร ) ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นอนุตตระ
หรือจิตตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า
จิตตั้งมั่น หรือจิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่ตั้งมั่น หรือจิตวิมุตติ (
คือหลุดพ้นด้วยตทังควิมุตติ และ
วิกขัมภนวิมุตติ ) ก็รู้ชัดว่า จิตวิมุตติ หรือจิตยังไม่วิมุตติ ก็รู้ชัดว่า
จิตยังไม่วิมุตติ ดังนี้
- ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต
เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น จิตในจิตเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ
ความเกิดขึ้นในจิตบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในจิตบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ
ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในจิตบ้าง ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าจิตมีอยู่
แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียง สักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ
อยู่อย่างนี้
จบจิตตานุปัสสนา
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 314-316 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
- พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
๙ วิธี อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสจิตตานุ
ปัสสนา ๑๖ วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตตานุปัสสนา
เป็นอย่างไรเล่าเป็นต้น
จำแนกอารมณ์ของจิต
- บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า จิตมีราคะ
คือจิตที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ ๘ อย่าง บทว่า จิตปราศจากราคะ คือ
จิตที่เป็นกุศล และ อพยากตฝ่ายโลกิยะ แต่ข้อนี้ เป็นการพิจารณา มิใช่เป็นการชุมนุมธรรม
เพราะฉะนั้นใน คำว่า
จิตมีราคะ นี้ จึงไม่ได้โลกุตตรจิต แม้แต่บทเดียว อกุศลจิต ๔ ดวง ที่เหลือ
จึงไม่เข้าบทต้น ไม่เข้าบทหลัง
บทว่า จิตมีโทสะ ได้แก่จิต ๒ ดวง ที่เกิดพร้อมด้วยโทมนัส บทว่า จิตปราศจากโทสะ
ได้แก่จิตที่เป็นกุศล
และอพยากตฝ่ายโลกิยะ อกุศลจิต ๑0 ดวงที่เหลือ ไม่เข้าบทต้น ไม่เข้าบทหลัง บทว่า
จิตมีโมหะ ได้แก่จิต ๒ ดวง
คือ จิตที่เกิดพร้อมด้วยวิจิกิจฉาดวง ๑ ที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะดวง ๑ แต่เพราะโมหะย่อมเกิดได้ในอกุศลจิตทั้งหมด
ฉะนั้น แม้อกุศลจิตที่เหลือ ก็ควรได้ในบทว่าจิตมีโมหะนี้โดยแท้ จริงอยู่ อกุศลจิต
๑๒ ( โลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒
โมหมูลจิต ๒ ) ท่านประมวลไว้ในทุกกะ ( หมวด ๒ ) นี้เท่านั้น บทว่า จิตปราศจากโมหะ
ได้แก่จิตที่เป็นกุศล
และอพยากตฝ่ายโลกิยะ บทว่า จิตหดหู่ ได้แก่จิตที่ตกในถีนมิทธะ ก็จิตที่ตกในถีนมิทธะนั้น
ชื่อว่า จิตหดหู่ บทว่า
จิตฟุ้งซ่าน ได้แก่จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะ จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะนั้น
ชื่อว่าจิตฟุ้งซ่าน บทว่า
จิตเป็นมหัคคตะ ได้แก่จิตที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจร บทว่า จิตไม่เป็นมหัคคตะ
ได้แก่จิตที่เป็นกามาวจร
บทว่า สอุตฺตรํ จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ได้แก่จิตที่เป็นกามาวจร บทว่า อนุตฺตรํ
จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ได้แก่จิตที่เป็น
รูปาวจร และอรูปาวจร แม้ในจิตเหล่านั้น จิตที่ชื่อว่า สอุตตระ ได้แก่ จิตเป็นรูปาวจร
จิตชื่อว่า อนุตตระ ได้แก่
จิตที่เป็นอรูปาวจร บทว่า สมาหิตํ จิตตั้งมั่นแล้ว ได้แก่อัปปนาสมาธิหรืออุปจารสมาธิ
บทว่า อสมาหิตํ
จิตไม่ตั้งมั่น ได้แก่จิตที่เว้นสมาธิทั้งสอง บทว่า วิมุตฺตํ จิตหลุดพ้น*
ได้แก่จิตหลุดพ้นด้วยตทังควิมุตติ และ
วิขัมภนวิมุตติ บทว่า อวิมุตฺตํ จิตไม่หลุดพ้น ได้แก่จิตที่เว้นวิมุตติทั้งสอง
ส่วนสมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ
และนิสสรณวิมุตติ ไม่มีโอกาสในบทนี้เลย
จิตในจิตนอก
- ข้อว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา
หรือภายใน ความว่า ภิกษุโยคาวจร กำหนดจิตที่เป็นไปในสมัยใดๆ ด้วยการกำหนด
จิตมีราคะเป็นต้นอย่างนี้ชื่อว่าพิจารณาเห็น จิตในจิตทั้งหลายของตน หรือในจิตของคนอื่น
ในจิตของตนตามกาล หรือในจิตของคนอื่นตามกาลอยู่ ก็ในคำว่า พิจารณาเห็นธรรมความเกิดนี้
( ในจิตทั้งหลาย ) นี้ มีวินิจฉัยว่า
ภิกษุเมื่อเห็นความเกิด และความเสื่อม แห่งจิตทั้งหลายด้วยอาการอย่างละ ๕ ว่า
เพราะอวิชชาเกิด จึง
เกิดวิญญาณดังนี้เป็นต้น พึงทราบว่า เธอพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดในจิตทั้งหลายอยู่
พิจารณาเห็นธรรม
คือความเสื่อม ในจิตทั้งหลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรม คือคึอความเกิดในจิตทั้งหลาย
ตามกาลอยู่
พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมในจิตทั้งหลาย ตามกาลอยู่
- คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่าจิตมีอยู่ ความว่า
สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า จิตแลมีอยู่
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์ ท่านอธิบายว่า
สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อ
ประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ
ขึ้นไป และประมาณ
แห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า ไม่ถูก
กิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ
ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
สติกำหนดจิต เป็นอริยสัจ ๔
- ในจิตตานุปัสสนานี้ สติอันกำหนดจิต เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติกำหนดจิต เป็นอารมณ์นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสมุทัยสัจ
การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคอันกำหนด
ทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธเป็นอารมณ์เป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายโดยทางสัจจะ
๔ อย่างนี้ ย่อมบรรลุนิพพานดับทุกข์ได้แล นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต
ของภิกษุผู้กำหนดสติ
กำหนดจิตเป็นอารมณ์ อย่างนี้แล
จบจิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน
- *วิมุตติ ความหลุดพ้น,
ความพ้นจากกิเลสมี ๕ อย่างคือ ๑. ตทังควิมุตติ พ้นด้วยธรรมคู่ปรับหรือ
พ้นชั่วคราว ๒. วิกขัมภนวิมุตติ พ้นด้วยข่มหรือสะกดไว้ ๓. สมุจเฉทวิมุตติ พ้นด้วยตัดขาด
๔. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ พ้นด้วยสงบ ๕. นิสสรณวิมุตติ พ้นด้วยออกไป; ๒ อย่างแรก
เป็น โลกิยวิมุตติ
๓ อย่างหลังเป็น โลกุตตรวิมุตติ
- ตทังควิมุตติ พ้นด้วยองค์นั้น
ๆ หมายความว่า พ้นจากกิเลสด้วยอาศัยธรรมตรงข้ามที่เป็นคู่ปรับกัน เช่น
เกิดเมตตา หายโกรธ เกิดสังเวช หายกำหนัด เป็นต้น เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว และเป็นโลกียวิมุตติ
- วิกขัมภนวิมุตติ พ้นด้วยข่มหรือสะกดไว้
ได้แก่ความพ้นจากกิเลสและอกุศลธรรมได้ด้วยกำลังฌาน
อาจสะกดไว้ได้ นานกว่าตทังควิมุตติ แต่เมื่อฌานเสื่อมแล้ว กิเลสอาจเกิดขึ้นอีก
จัดเป็นโลกิยวิมุตติ
- สมุจเฉทวิมุตติ หลุดพ้นด้วยตัดขาดได้แก่
พ้นจากกิเลสด้วยอริยมรรค กิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไป
ไม่กลับเกิดขึ้นอีก เป็นโลกุตตรวิมุตติ
- ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยสงบระงับ
ได้แก่ การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอริยผล เป็นการ
หลุดพ้นที่ยั่งยืนไม่ ต้องขวนขวายเพื่อละอีก เพราะกิเลสนั้นสงบไปแล้ว เป็นโลกุตตรวิมุตติ
- นิสสรณวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยออกไปเสีย
หรือสลัดออกได้ เป็นการพ้นที่ยั่งยืนตลอดไป ได้แก่
นิพพาน, เป็นโลกุตตรวิมุตติ