พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 291 หน้า 225-226 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
ธัมมานุปัสสนา
ขันธบรรพ
- [ ๒๙๑ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือ อุปาทานขันธ์ ๕
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือ อุปาทานขันธ์
๕
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
( ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า )
- อย่างนี้ รูป ( สิ่งที่ทรุดโทรม
) อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของรูป อย่างนี้ ความดับไปของรูป
- อย่างนี้ เวทนา ( ความเสวยอารมณ์ )
อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของเวทนา อย่างนี้ ความดับไปของเวทนา
- อย่างนี้ สัญญา ( ความจำได้ หมายรู้
) อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของสัญญา อย่างนี้ ความดับไปของสัญญา
- อย่างนี้ สังขาร ( สภาพปรุงแต่ง
) อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของสังขาร อย่างนี้ ความดับไปของสังขาร
- อย่างนี้ วิญญาณ ( ความรู้ในอารมณ์ต่างๆ
) อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของวิญญาณ อย่างนี้ ความดับไปของวิญญาณ
- ดังนี้
- ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง
ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้
แต่เพียง สักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อย่างนี้แล
จบข้อกำหนดว่าด้วยขันธ์
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 326-328 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ขันธบรรพ
- พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนา
โดยนีวรณ์ ๕ อย่างนี้ บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดย
ขันธ์ ๕ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่งเป็นต้น
- บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า ในอุปาทานขันธ์
๕ คือกองอุปาทาน ชื่อว่า อุปาทานขันธ์ อธิบายว่า กลุ่มธรรม
คือกองธรรม อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน ความสังเขปในที่นี้มีเท่านี้ ส่วนความพิสดาร
ท่านกล่าวไว้แล้ว ในขันธกถา
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค บทว่า อิติ รูปํ ดังนี้ รูป ความว่า นี้รูป รูปมีเท่านี้
ภิกษุย่อมรู้ชัดรูปโดยสภาพว่า
รูปอื่นนอกจากนี้ไม่มี ดังนี้ แม้ในเวทนา เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน ความสังเขปในที่นี้มีเพียงเท่านี้
ส่วนรูปเป็นต้น
ท่านกล่าวไว้แล้วในขันธกถา ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคโดยพิสดาร บทว่า อิติ รูปสฺส
สมุทโย นี้ความเกิดแห่งรูป
ความว่า ความเกิดแห่งรูปด้วยอาการ ๕ โดยความเกิดแห่ง อวิชชา เป็นต้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
คำว่า
อิติ รูปสฺส อตฺถงฺคโม ความดับแห่งรูปด้วยอาการ ๕ โดยดับ อวิชชาเป็นต้นย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
แม้ในเวทนา
เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน ความสังเขปในที่นี้มีเพียงเท่านี้ ส่วนความพิสดาร
ท่านกล่าวไว้แล้วในอุทยัพยญาณ
กถาในคัมภีร์วิสุทธิมรรค
- คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา
หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายของตน ในธรรม
ทั้งหลายของคนอื่น หรือในธรรมทั้งหลายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาลด้วยการกำหนดขันธ์
๕
อย่างนี้อยู่ ก็ความเกิดและความเสื่อม ในคำว่าพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดและความเสื่อมนี้
บัณฑิต
พึงนำมาเทียบเคียงโดยลักษณะ ๕0 ที่กล่าวไว้ในขันธ์ ๕ ว่า เพราะอวิชชาเกิด รูปจึงเกิดดังนี้เป็นต้น
- คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่าธรรมมีอยู่ ความว่า
สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า ธรรมแลมีอยู่
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์ ท่านอธิบายว่า
สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อ
ประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ
ขึ้นไป และประมาณ
แห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า ไม่ถูก
กิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ
ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
สติกำหนดขันธ์ ๕ เป็นอริยสัจ
๔
- ในขันธบรรพนี้ สติอันกำหนดขันธ์ เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติกำหนด
ขันธ์เป็นอารมณ์นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง
เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคอัน
กำหนดทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธเป็นอารมณ์เป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายโดยทางสัจจะ
๔ อย่างนี้
ย่อมบรรลุนิพพานดับทุกข์ได้แล นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดสติกำหนด
ขันธ์เป็นอารมณ์ อย่างนี้แล
จบขันธบรรพ