นิรยภูมิ

โลกนรก

         บัดนี้ จักแสดงถึงโลกต่ำช้าหาความสุขมิได้ ซึ่งมีชื่อว่า อบายภูมิ ได้แก่ โลกที่ปราศจากความสุข ไม่มีสมบัติ ๓
ประการ คือ มนุษย์สมบัติประการหนึ่ง เทวสมบัติประการหนึ่ง และพรหมสมบัติประการหนึ่ง เหตุนั้น จึงเรียกว่า อบายภูมิ = โลกที่ปราศจากความสุข ซึ่งมีอยู่ ๔ โลกด้วยกัน คือ

         ๑. นิรยภูมิ = โลกนรก
         ๒. เปตติวิสยภูมิ = โลกเปรต
         ๓. อสุรกายภูมิ = โลกอสุรกาย
         ๔. ติรัจฉานภูมิ = โลกเดียรัจฉาน

         บรรดาจตุราบายภูมิ คือ อบายภูมิทั้ง ๔ จักพรรณนาถึงอบายภูมิอันดับแรกก่อน อบายภูมิอันดับแรกเป็นที่หนึ่งนี้ มีชื่อว่า นิรยภูมิ หรือจะเรียกว่าโลกนรกก็ได้ โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ล้วนๆ เป็นโลกที่ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิง สัตว์ ผู้ไปเกิดอยู่ในโลกนี้ ไม่มีความสุขแม้แต่นิดหนึ่งเลย ฉะนั้น ภูมินี้จึงมีชื่อว่า นิรยภูมิ = โลกที่ไม่มีความสบาย

         นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลหนักหนา แบ่งเป็นเขตเป็นประเทศ ใหญ่ก็มี เล็กก็มี เหมือนอย่าง มนุษย์โลกเราไม่นิยมเรียกว่า เป็นรัฐหรือเป็นประเทศ แต่เรียกสถานที่แต่ละแห่งเหล่านั้นว่า " ขุม "

มหานรก

         โลกนรกประเภทที่ใหญ่ที่สุด เรียกว่า มหานรก มีอยู่ทั้งหมด ๘ ขุมด้วยกัน ต้องซ้อนเรียงรายอยู่เป็นชั้นๆ จักพรรณนา ตั้งแต่ชั้นต่ำที่สุดโดยสังเขปดังต่อไปนี้

๑. สัญชีวนรก

         เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติบังเกิดในนรกขุมนี้ ถึงแม้จะได้รับทุกข์โทษจนตายแล้ว ก็กลับเป็นขึ้นมาอีก หมายความว่าคนใจบาป หยาบช้าลามกผู้ใด ตายไปตกนรกขุมนี้แล้ว เขาก็จะเป็นคล้ายๆ กับว่ามีตัวเป็นกายสิทธิ์ คือ ไม่มีวันตายเลย เสวยทุกข์อันแสน สาหัสจนขาดใจตายคาที่นั่นแล้ว ก็กลับเป็น มีชีวิตชีวาขึ้นมาเสวยทุกข์โทษต่อไปอีก ตายๆ เป็นๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ฉะนั้น จึงเรียกนรกขุมนี้ว่า สัญชีวนรก = นรกที่ไม่มีวันตาย

         ความเป็นอยู่ เมื่อพูดถึงความเป็นอยู่ ชาวสัญชีวนรกนี้ ไม่มีอาชีพการงานอะไรที่จะต้องทำเลี้ยงชีวิตเหมือนอย่าง มนุษย์เราเลย ทั่วทุกตัวสัตว์นรกไม่ต้องทำอะไร ตลอดเวลาได้แต่ก้มหน้าก้มตาเสวยผลกรรมของตนถ่ายเดียวเช่น

         สัตว์นรกบางจำพวกถูกนายนิรยบาล คือ เจ้าพนักงานเมืองนรกจับมัดให้มั่นแล้ว บังคับให้นอนลงเหนือแผ่นเหล็กที่ลุก แดงด้วยไฟนรก อย่างนี้เขาก็ต้องได้รับความแสบปวดแสบร้อนเหลือประมาณ ต่อจากนั้นนายนิรยบาลจึงดาบนรกอันคมหนัก
หนา ฟาดฟันกายาของเขาให้ขาดเป็นท่อนๆ บางทีก็เอามีดเอาขวาน ค่อยถากค่อยเฉือนเนื้อตัวร่างกายของสัตว์นรกที่กำลัง นอนบนพื้นเหล็กทีละน้อยๆ จนกระทั่งเนื้อหนังมังสาหมดไป เหลือแต่เพียงโครงกระดูกขาวโพลนอยู่ สัตว์นรกทั้งหลายได้รับ โทษทรมานเช่นนี้ก็มีความเจ็บปวดยิ่งนัก ส่งเสียงโอดโอยร้องครวญครางให้อื้ออึงระงมไปทั่วบริเวณ จนกระทั่งสิ้นใจตายไปใน ที่นั้นเอง แล้วก็มีลมชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า ลมกรรม รำเพยโชยพัดมาต้องกายาสัตว์นรกนั้นให้กลับเป็น มีชีวิตสรีระร่างกาย เหมือนเดิม นายนริยบาลเห็นดังนั้น ก็เริ่มลงมือการประหัตประหาร ทรมานให้ได้รับทุกข์เจ็บปวดเหมือนเก่า แต่เฝ้าตายเป็น และเป็นตายอยู่อย่างนี้นานนักหนา จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

         สัตว์นรกบางจำพวก อำนาจกรรมทำให้เขามีนิ้วมือแปลกพิลึก คือ มีนิ้วมือเป็นอาวุธ เป็นหอก เป็นดาบ เป็นแหลน เป็นหลาว ล้วนแต่คมวาววับน่ากลัวนัก ครั้นมาพบเพื่อนสัตว์นรกด้วยกัน แทนที่จะสงสารสามัคคี ก็มีอันเป็นสติวิปลาสเกิดเป็น บ้า จำหน้าเพื่อนกันไม่ได้ คล้ายกะโกรธเคืองกันมาแรมปี ตรงรี่เข้าใส่ ฟังแทงซึ่งกันและกัน ด้วยความฉุนโกรธเป็นวรรคเป็นเวร ปากก็ร้องคำรามอยู่แต่ว่า " กูจะฆ่ามึงๆ " ต่อสู้กันให้อึงคะนึงเป็นกลุ่มๆ ต่างก็มีโลหิตไหลโซมร่างแดงฉาน ประหารกันให้ได้รับ ความเจ็บปวด บางตนก็ล้มลงดิ้นพรวดพราด บางตนก็ล้มตายก่ายกองระเนระนาด ร้องครวญครางเพราะพิษบาดแผล แลดูน่า สังเวชยิ่งนัก พอมีลมกรรมพัดมา ก็กลับมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างเดิม แล้วก็เริ่มต่อสู้กันไปใหม่ บางทีปะเหมาะ นายนริยบาลก็ เข้าผสมโรงด้วย คือ ช่วยทุบตี ฟันแทงให้ได้รับความเจ็บปวดหนักขึ้นไปอีก เป็นอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า นี่แลความเป็นอยู่ของ ชาวสัญชีวนรก

         อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ในสัญชีวนรกนี้ มีอยู่ ๕00 ปี ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษย์โลกเราดังนี้ คือ เก้าล้านปี ของ มนุษย์โลกเท่ากับวันหนึ่งคืนหนึ่งของเขา ทีนี้อายุของเขาได้ ๕00 ปี ก็จงพิจารณาดูเถิดว่า เท่ากับเวลาของมนุษย์เรายาวนาน เท่าใด

         บุพกรรม เมื่อครั้งก่อนเขาเป็นมนุษย์ มีจิตไม่บริสุทธิ์ หยาบช้าลามกใจสกปรกนัก รักที่จะก่อกรรมทำเข็ญเป็นต้นว่า ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนเป็นเนืองนิตย์ ครั้นสิ้นชีวิตกรรมจึงนำพาให้มา เกิดในสัญชีวนรกนี้

๒. กาฬสุตตนรก

         เหล่าสัตว์ที่มาเกิดอุบัติเกิดในขุมนรกนี้ ย่อมถูกลงโทษโดยนายนริยบาลเอาด้ายดำมาตีเป็นเส้นตามร่างกาย แล้วก็เอา เลื่อยมาเลื่อย บางทีก็เอาขวานมาผ่า หรือเอามีดมาเฉือนกรีดตามเส้นดำที่ตีไว้ไม่ให้ผิดรอยได้ ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า กาฬสุตตนรก = นรกที่ลงโทษตามเส้นด้ายดำ

         ความเป็นอยู่ เหล่าสัตว์ในกาฬสุตตนรกนี้ บางพวกถูกนายนริยบาลจับมัดให้นอนลงเหนือแผ่นเหล็กแดงที่กำลังร้อน แรงด้วยไฟนรก แล้วเอาด้ายดำซึ่งทำด้วยเหล็กโตใหญ่เท่าลำตาลมาตีบนร่างของสัตว์นรกนั้น ทำให้เป็นรอยเส้น แล้วทำการ เลื่อยด้วยเลื่อยนรกอันแดงไปด้วยเปลวไฟ ค่อยเลื่อยไปจนกายขาดเป็นท่อนๆ สัตว์นรกทนไม่ได้ก็ดิ้นรนกระวนกระวาย บางทีถึงกับ ทะลึ่งลุกขึ้นพรวดพราด แสดงกิริยาฮึดฮัดทำท่าจะสลัดให้หลุด นายนริยบาลก็บังคับจับมัดให้แน่นเข้าไปอีก แล้วทำการเลื่อย ตัดร่างกายสัตว์นรกเหล่านั้นต่อไป

         บางพวก พอเห็นนายนริยบาลถือศาสตราอาวุธสำหรับเลื่อยสำหรับเลื่อยสำหรับตัดร่างกายของตนเดินมาแต่ไกล ก็ให้ครั่นคร้ามขามขยาดมิอาจจะยืนอยู่กับที่ พากันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ขุนนรกนิรยบาลเห็นดังนั้น ก็พลันตวาดดังลั่นเสียง สนั่นก้องทั่วทั้งนรก ก็เลยทำให้ยิ่งตกใจกลัวสุดขีด วิ่งเผ่นหนีอุตลุด กูเหยียบเอ็ง เอ็งเหยียบกู ดูน่าสังเวชหนักหนา คราทีนั้น ด้วยอำนาจอกุศลกรรมบันดาลเป็นให้มีแผ่นกระดานเหล็กอันคมกริบ และรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟมีเสียงน่ากลัวเหมือนฟ้าผ่า แล่น มาตัดร่างกายของสัตว์นรกทั้งหลายให้ขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ กลิ้งเกลื่อนกลาดไปในที่นั่นเอง เขาเฝ้าเสวยทุกข์โทษอัน
ร้ายกาจเห็นปานฉะนี้อยู่เป็นเวลานานปีหนักหนา จนกว่าจะหมดอกุศลกรรมความชั่วร้ายที่ตนทำไว้แล้ว จึงไปเกิดในภูมิอื่น
ตามยถากรรม

         อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ในกาฬสุตตนรกนี้ ๑,000 ปี เทียบเวลาของมนุษย์โลกดังนี้คือ สามโกฏิกับหกล้านปี ของมนุษย์โลก จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของกาฬสุตตนรก ที่นี้อายุของเขา ๑,000 ปี ก็จงพิจารณาดูเถิดว่า เท่ากับเวลาของ
มนุษย์โลกยาวนานเท่าใด

         บุพกรรม เมื่อก่อนครั้งยังเป็นมนุษย์ มีใจบาปหยาบช้า จับเอาสัตว์สี่เท้ามาแล้วก็ตัดเท้าหน้า เท้าหลัง หู จมูก ปาก ทำสัตว์ให้ลำบากเสวยทุกข์ มิฉะนั้นก็จุดไฟเผาป่า ด้วยเจตนาจะให้สัตว์ป่าล้มตาย หรือมิฉะนั้นก็เคยประทุษร้ายต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ อกุศลกรรมเหล่านี้มีกำลังแรงกล้าจึงพาให้มาบังเกิดในกาฬสุตตนรกนี้

๓. สังฆาฏนรก

         เหล่าสัตว์ที่เกิดในนรกขุมนี้ ย่อมถูกภูเขาเหล็กบดขยี้ร่างกายให้ได้รับ ทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลาไม่ว่างเว้น ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า สังฆาฏนรก = นรกบดขยี้สัตว์

         ความเป็นอยู่ เหล่าสัตว์ที่ไปเกิดอยู่ในนรกขุมนี้ มีร่างกายวิกลวิการต่างๆ กัน รูปร่างแปลกพิลึก บางตนมีหน้าเป็น
ควาย มีตัวเป็นมนุษย์ บางตัวส่วนหน้าเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายกลับเป็นกุญชร บางตนบางสัตว์มีหน้าเป็นมนุษย์ แต่ร่างกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉานหลายอย่างหลายชนิด และบางตนมีหน้าเป็นเสือ เป็นกวาง เป็นม้า เป็นวัว เป็นลา เป็นหมู เป็นหมา
เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นกา ฯลฯ แต่ร่างกายเป็นมนุษย์ อย่างนี้มีอยู่หลายหลากนานาประการ สุดจะนับจะประมาณได้ นายนริยบาล ผูกมัดสัตว์นรกร่างประหลาดต่างๆ เหล่านั้นไว้ที่คอรวมกันเป็นพวงๆ ด้วยโซ่เหล็กร้อนระอุ แล้วฉุดกระชากลากมาให้นอนเหนือ แผ่นเหล็กที่ร้อนกล้า แล้วก็เอาค้อนเหล็กเข่นกระหน่ำลงไปเต็มกำลังเรี่ยวแรงของนายนริยบาลผู้ทรงพลัง ร่างกายของสัตว์ นรกก็แตกป่นถึงกระดูก ครั้นต้องลมกรรมที่พัดมา ก็กลับเป็นปกติธรรมดาให้นายนริยบาล มีโอกาสทุบตีกระหน่ำซ้ำต่อไปอีกไม่ หยุดยั้ง

         บางพวกก็ถูกนายนริยบาลจับมัดมาแล้วให้นอนหงายลงบนถ่านอันร้อนระอุ สัตว์นรกก็เร่าร้อนดิ้นรนไปมา เสวยทุกขเวทนาสิ้นกาลนาน เพราะถูกเผาลนอย่างร้ายกาจหนักหนา

         บางทีนายนริยบาลผู้มีดวงหน้าอันขมึงทึง มีมือถือศาสตราวุธเที่ยวเดินไป ครั้นสัตว์นรกทั้งหลายก็พลันยกขึ้นซึ่งอาวุธ แล้วก็คำรนคำรามด้วยเสียงก้องนรกว่า " กูจะฆ่ามึงๆ " สัตว์นรกได้ฟังก็หวาดกลัวจับขั้วหัวใจ วิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต! ทีนั้น ด้วยอำนาจกรรมบันดาลให้เป็นไปเกิดเป็นกองไฟขึ้นขวางหน้ากั้นไว้ สัตว์นรกก็ไปไม่ได้ พอหันกลับมาก็เกิดไฟดักหน้าเข้าอีก กองหนึ่ง ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ให้ปรากฏมีกองไฟรอบตัวไปหมด เผาสัตว์นรกให้ได้ทุกขเวทนาแสนสาหัส อันว่าไฟนรก
นี้ อย่าพึงเข้าใจว่าเหมือนไฟในโลกมนุษย์ เพราะมันมีความร้อนแรงกว่าไฟธรรมดาหลายเท่านัก ถึงจะถูกไฟนรกเผาอย่างนี้ สัตว์นรกทั้งหลายก็หาตายง่ายๆ ไม่ คราทีนั้น ก็มีภูเขาเหล็ก ๒ ลูก กลิ้งมาบีบสัตว์ให้แหลกลาญ ละเอียดไม่มีชิ้นดี เปรียบดัง เครื่องหีบอ้อยที่บดอ้อยให้แหลกละเอียดนั่นทีเดียว

         บางทีนายนริยบาลก็จับสัตว์นรกเหล่านี้มาฝังลงในพื้นแผ่นเหล็กลึกแค่บั้นเอว ตรึงตราไว้มั่น ไม่หวั่นไหวได้ ในไม่ช้า จึงมีภูเขาไฟรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ ค่อยกลิ้งมาบดขยี้ทับสัตว์นรกเหล่านั้นให้ได้รับทุกขเวทนา แตกละเอียดไป พอมีลมกรรม พัดมาก็กลับเป็นขึ้นมาอีก ภูเขาเหล็กนรกนั่นก็ค่อยๆ กลิ้งมาทับ บดขยี้ให้ถึงความป่นปี้ทุกขเวทนาอีก เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำซาก ไม่หยุดหย่อนเลย ตลอดเวลาที่อยู่ในสังฆาฏนรกนี้

         อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ในสังฆาฏนรกนี้ ๒,000 ปี เทียบเวลาของมนุษย์โลกดังนี้ คือ สิบสี่โกฏิกับห้าล้านปีของ
มนุษย์โลกจึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของสังฆฏนรกโลก ทีนี้อายุของเขาเหล่านั้น ๒,000 ปี ก็จงพิจารณาดูเถิดว่า เท่ากับเวลา
ของมนุษย์โลกยาวนานเท่าใด

         บุรพกรรม เมื่อก่อนเป็นผู้มีใจบาปหยาบช้า มากด้วยอกุศลกรรม ไร้ความเมตตากรุณา ทำการทารุณกรรมสัตว์ เช่น ฆ่าสัตว์เบียดเบียนสัตว์ป็นประจำ ผลของกรรมชั่วจึงดลบันดาลให้มาเกิดในนรกขุมนี้

๔. โรรุวนรก

         เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ เป็นสัตว์ที่ได้รับทุกข์โทษแสนสาหัส ต้องร้องครวครางอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะว่า ใน นรกขุมนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องระงมเสียงครวญครางอย่างน่าเวทนายิ่งนัก ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อ โรรุวนรก = นรกที่เต็มไปด้วย เสียงร้องไห้

         ความเป็นอยู่ ในนรกขุมนี้มีดอกบัวเหล็กเต็มพืดไปหมด แต่ละดอกก็มีสัตว์นรกเสวยทุกข์เวทนาอยู่ในนั้น วิธีเสวยทุกข์ แปลกประหลาด คือ นอนคว่ำอยู่กลางดอกบัวศีรษะมิดเข้าไปในดอกบัวแค่หาง ส่วนปลายเท้าก็จมมิดเข้าไปในดอกบัวเหล็ก แค่ข้อเท้า มือกางจมมิดเข้าไปในดอกบัวเหล็กแค่ข้อมือนอนคว่ำหน้าอยู่ด้วยอาการอันพิลึกพิลั่นเช่นนั้นแล้ว เปลวไฟก็ปรากฏ
ขึ้นเผาไหม้ดอกบัวเหล็กพร้อมกับสัตว์นรกเหล่านั้น เปลวไฟแลบเข้าหูขวาทะลุหูซ้าย เข้าปาก ตา จมูก สัตว์นรกก็ได้แต่ร้อง ครางเสียงสนั่นหวั่นไหว จะตายก็ไม่ตาย มีกายลำบากแสนสาหัส เสวยทุกขเวทนาตลอดเวลาที่ยังอยู่ในโรรุวนรก

         อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ในโรวรุวนรกนี้ ๔,000 ปี เทียบกับเวลาของมนุษย์โลกดังนี้ คือ ยี่สิบสามโกฏิกับสี่ล้านปี จึง เป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของโรรุวนรกโลก ทีนี้อายุของเขาเหล่านั้น ๔,000 ปี ก็จงพิจารณาดูเถิดว่า เท่ากับเวลาของมนุษย์โลก ยาวนานเท่าใด

         บุรพกรรม ชาติก่อนเป็นมนุษย์ใจบาปหยาบช้า จับเอาสัตว์เป็นๆ มาเผาไฟหรือปิ้งให้สุกแล้วกินเป็นอาหารอยู่เนือง
นิตย์

         บางตนเคยเป็นตุลาการ พิพากษาความไม่ยุติธรรมด้วยอำนาจ ฉันทาคติ โทสาคติ ภยาคติ โมหาคติ เห็นแก่สินจ้าง สินบน เข้าข้างโจทก์บ้าง เข้าข้างจำเลยบ้าง ที่ชนะให้แพ้ ที่แพ้ก็ให้เป็นชนะ ไม่ตัดสินไปตามความจริง ประกอบด้วยเจตนาอัน
ชั่ว ตัวตายแล้วจึงมาเกิดในนรกขุมนี้

         บางตนเคยเป็นบุคคลมีโลภเจตนา รุกที่บ้านและเรือกสวนไร่นาของผู้อื่นเอามาเป็นของตน บางตนเคยคบภรรยาของ ผู้อื่น แล้วก็ฆ่าผัวให้ตายเสียเอาเมียเขามา สัตว์นรกบางตนเคยเป็นหญิงใจไม่ดีมีสามีแล้วกลับมีชู้ แล้วให้ชู้ฆ่าผัวตัวให้ตาย

         บางตนเคยฉ้อโกงหรือเบียดบังทรัพย์สมบัติที่คนเขาอุทิศถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเจดีย์วิหาร เอามา เป็นของตน ครั้นตายแล้วจึงมาตกนรกขุมนี้

๕. มหาโรรุวนรก

         เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ ได้รับทุกข์ทรมานมากมาย ต้องร้องไห้เสียงระงมไปทั่วทั้งนรก เพราะว่านรกขุมนี้ เต็ม ไปด้วยเสียงร้องครวญครางของสัตว์นรกทั้งหลายมากยิ่งนัก มากกว่านรกขุมที่ ๔ ที่กล่าวมาแล้ว และการเสวยทุกข์โทษก็มาก กว่ากัน ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงได้ชื่อว่า มหาโรวรุวนรก = นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากมาย

         ความเป็นอยู่ สัตว์ผู้ไปเกิดในนรกขุมนี้ ต้องเสวยทุกขเวทนาดูน่ากลัวนัก ต้องเข้าไปยืนในดอกบัวเหล็ก ซึ่งกลีบแต่ละ กลีบคมเป็นกรด มิหนำซ้ำยังร้อนแรงแดงฉานไปด้วยไฟนรกลุกโพลงในดอกบัวอยู่เนืองนิตย์ เผาไหม้สัตว์นรกซึ่งอยู่ในดอกบัว นั้นตั้งแต่พื้นเท้าตลอดศีรษะ เปลวไฟแลบเข้าไปในทวารทั้ง ๙ เผาไหม้ทั้งข้างในและข้างนอก เพราะมีเปลวไฟร้อนร้ายกาจเช่น
นี้ ท่านจึงเรียกชื่อนรกขุมนี้อีกอย่างหนึ่งว่า ชาลโรรุวะ = นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ

         สัตว์นรกทั้งหลายได้เสวยทุกข์โทษอย่างนี้ ก็ได้แต่กระวนกระวายด้วยความร้อนเข้าจับจิตจับใจ จะตายก็ไม่ตาย ถูกไฟ เผาในดอกบัวด้วยอาการที่น่ากลัวอย่างนั้นแล้วยังไม่พอ เพราะยังมีนายนริยบาลถือกระบองเหล็กอันมีไฟลุกโชนตีกระหน่ำบน ศีรษะซ้ำเข้าไปอีกจนแตกยับ ถึงอย่างนั้นก็หาตายลงง่ายๆ ไม่ เพราะอำนาจกรรมทำให้มีชีวิตได้รับทุกข์ต่อไป กรรมยังไม่สิ้น เพียงใด ก็ต้องทนทุกข์เสวยโทษอยู่ในนรกเพียงนั้น

          อายุ เกณฑ์อายุสัตว์ในมหาโรรุวนรกนี้ ๘,000 ปี เทียบเวลาของมนุษย์โลกดังนี้ คือ เก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี เป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของมหาโรรุวนรก ทีนี้อายุของเขา ๘,000 ปี ก็จงพิจารณาดูเถิดว่า จะเท่ากับเวลาของมนุษย์โลกยาว นานเท่าใด

         บุรพกรรม เมื่อก่อนเป็นมนุษย์ใจบาปหยาบช้า ลามกสกปรกด้วยอกุศลกรรม ใจโหดร้าย ตัดศีรษะสัตว์และมนุษย์ ล่วงปาณาติบาตกรรมด้วยอำนาจของความโกรธ ทำโจรกรรม ทำชั่วด้วยความอาฆาต ปล้นขโมยสิ่งของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของพ่อแม่ ของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และของท่านผู้ทรงศีล ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ จึงต้องมาเกิดทนทุกข์เสวย โทษอยู่ในนรกขุมนี้

๖. ตาปนนรก

         เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษเร่าร้อน เพราะเป็นนรกที่ทำให้สัตว์ผู้เกิดในสถานที่นี่ ต้องเร่าร้อน อย่างน่าสงสาร ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า ตาปนนรก = นรกทำให้สัตว์เร่าร้อน

         ความเป็นอยู่ ในนรกขุมนี้ มีหลาวเหล็กใหญ่โตเท่าต้นตาล รุ่งโรจน์โชตนาการแดงฉานด้วยเปลวไฟ จำนวนประมาณ หลายหมื่นแสนแน่นเต็มนรกไปหมด หลาวเหล็กแต่ละอันๆ นั้น มีสัตว์นรกเสียบอยู่บนปลายหลาว มีเปลวไฟพุ่งขึ้นภายใต้
หลาวเหล็ก ไหม้เผาผลาญสังหารสัตว์นรกทั้งหลายอยู่เป็นนิจนิรันดร์ ทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อหนังมังสา
ของสัตว์นรกทั้งหลายจะเหลือเป็นชิ้นดีอย่างไรได้เล่า ก็มีแต่จะไหม้สุกพองอยุ่เหนือปลายหลาวเหล็ก มีอุปมาดังเนื้อเสียบไม้ปิ้ง
ให้สุกบนถ่านไฟ สัตว์นรกทั้งหลายนั้นต้องเสวยทุกข์เวทนาดิ้นไปดิ้นมา จนกระทั่งเนื้อหนังสุกพองไปด้วยอำนาจไฟนรก ครั้น
เนื้อสุกเสร็จทั่วตัวแล้ว ก็มีหมานรกรูปร่างแปลกประหลาดขนาดความใหญ่เท่ากับช้างสาร ร้องอุโฆษณาการเสียงกึกก้องดังฟ้า
ร้องด้วยความหิวกระหาย กระเหี้ยนกระหือรือวิ่งเข้ามากระโหย่งเท้าหน้าเอาปากงับ กระชากลากสัตว์นรกทั้งหลายหมดสิ้น เหลือแต่กระดูก กรรมยังไม่สิ้นตราบใด พอลมกรรมพัดมา ก็กลับมีร่างกายเป็นปกติขึ้นมาตามเดิม นายนริยบาลก็ไล่บังคับ ให้ขึ้นบนปลายหลาวเหล็ก ย่างตนเองให้สุกพองเหมือนอย่างเก่า ครั้นถูกบังคับอย่างนี้เข้าสัตว์นรกจะไม่ทำตามคำสั่งของนาย นริยบาลเป็นไม่มีเลย เพราะความจริงสัตว์นรกทั้งหลายย่อมมีจิตใจเกรงกลัวต่อนายนริยบาลยิ่งนัก ดุจหมู่มฤคเกรงกลัวต่อ
พยัคฆ์และสีหราชฉะนั้น เป็นอันว่า สัตว์นรกทั้งหลายต้องขึ้นไปบนปลายหลาวเหล็กย่างตนเองให้สุกพอง แล้วถูกหมานรกฉีก เนื้อกินอย่างนี้ตลอดเวลาที่เสวยทุกข์อยู่ในนรกขุมนี้

         อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ในตาปนนรกนี้ ๑๖,000 ปี เทียบกับเวลาของมนุษย์โลกดังนี้ คือ หนึ่งพันแปดร้อยสี่สิบสอง
โกฏิ
กับ สิบสองล้านปี เป็นวันและคืนหนึ่งของตาปนนรก ทีนี้อายุของเขา ๑๖,000 ปี ก็จงคำนวณพิจารณาดูเถิดว่า จะเท่ากับ เวลาของมนุษย์โลกนานเท่าใด

          บุรพกรรม เมื่อก่อนเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาป อาศัยอกุศลมูลทั้ง ๓ คือ โลภมูล โทสมูล โมหมูล ประกอบกรรมทำ
เข็ญเป็นนายพราน ประหารสัตว์ทั้งหลาย ทิ่มแทงให้ตายด้วยหอกแหลนหลาว เอาเนื้อมารับประทานหรือขายเลี้ยงชีวิตตน
และครอบครัว เห็นแต่จะกิน เห็นแต่จะได้ มิได้ละอายต่อบาปทำกรรมชั่วร้ายตัวตายแล้ว จึงต้องมาทนทุกขเวทนาอยู่ในนรก
ขุมนี้

๗. มหาตาปนนรก

         เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษเร่าร้อนเป็นที่สุด เพราะเป็นนรกที่มีแต่ความเร่าร้อนเป็นที่สุด สัตว์ที่อยู่ในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับความเร่าร้อนเหลือประมาณ ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า มหาตาปนนรก = นรกที่เต็มไปด้วย ความเร่าร้อนเหลือประมาณ

         ความเป็นอยู่ ในนรกขุมนี้แลดูน่ากลัวนักหนา ทั้งลึก ทั้งกว้าง มีกำแพงเหล็กลุกเป็นไฟ ภายในกำแพงอันกว้างขวาง ใหญ่โตนั้น มีภูเขาเหล็กลุกเป็นไฟตั้งอยู่เป็นลูกๆ ตามพื้นข้างภูเขามีขวากเหล็กแหลมคม ปักเรียงรายอยู่เหนือพื้นเหล็ก ลุก แดงด้วยไฟมากมายนักหนา คราทีนั้นนายนริยบาลมีมือถืออาวุธหอกดาบแหลนหลาวลุกแดงด้วยแสงไฟ ไล่ทิ่มแทงสัตว์นรก ทั้งหลายให้ขึ้นไปบนภูเขาไฟแดงฉาน สัตว์นรกทั้งหลายตกใจกลัวนายนริยบาล ก็พากันวิ่งไปบนยอดเขานรก ต่อจากนั้นก็มีลม กรดอันร้อนแรงคมกล้าพัดมาด้วยกำลังลมนรก ทำให้สัตว์พลัดตกลงมาจากยอดเขา ตกลงมาถูกขวากนรกร้อนแรงซึ่งมีอยู่เบื้อง ล่าง เสียบร่างกายทะลุเลือดแดงฉาน เป็นการทรนมานที่ดูน่าทุเรศยิ่งนัก บางตนตกลงมาถูกขวากเสียบข้างซ้ายทะลุข้างขวา เสียบข้างหน้าทะลุหลัง เสียบหัวทะลุกลางตัว ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความหวาดเสียว เจ็บปวดยิ่งนัก ถูกเผาไหม้ทรมาน อยู่อย่างนี้ ตลอดเวลาที่กรรมชั่วยังไม่สิ้น ก็ไม่มีวันจะได้หยุดหย่อนเลย

         อายุ เกณฑ์อายุสัตว์ในมหาตาปนรกโลกนี้ มีจำนวนครึ่งอันตรกัป

         บุรพกรรม เมื่อก่อนเป็นมนุษย์มีใจบาป หนาไปด้วยอกุศลมลทินโทษยิ่งกว่าพวกที่ตกนรกขุมที่ ๖ คือ ตาปนนรก เช่น ประหารคน ประหารสัตว์ให้ตายเป็นหมู่มาก ไม่คำนึงถึงชีวิตเขาชีวิตท่าน ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ด้วยอำนาจอกุศลจึง นำตนอยู่ในนรกขุมนี้

๘. อเวจีนรก

         มหานรกขุมสุดท้ายมีชื่อว่า อเวจีนรก ซึ่งแปลว่า นรกปราศจากคลื่น คือระหว่างเปลวไฟและความทุกข์ไม่มีว่างสัก นิดเดียวเลย ในนรกนั้นปราศจากการหยุดพัก บันดาลให้สัตว์นรกได้รับทุกขทรมานไม่มีสร่าง ไม่มีหยุด ฉะนั้น จึงชื่อว่า
อเวจีนรก = นรกที่ปราศจากความบางเบาแห่งทุกข์

         ความเป็นอยู่ นรกขุมนี้เป็นนรกขุมใหญ่กว่าบรรดานรกทั้งหลาย ดูน่ากลัวน่าสยดสยองยิ่งนัก แลเห็นเป็นราวกะเมือง ใหญ่ ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กที่รุ่งโรจน์โชตนาการด้วยเปลวไฟ ภายในเปลวไฟร้อนระอุไหม้สัตว์นรกอยู่เนืองนิตย์ ทั้งกลาง วันกลางคืนไม่มีว่างเว้นเลย สัตว์ที่ไปเกิดอยู่ในมหานรกเอวจีนี้ มีมากกว่านรกขุมอื่น แออัดยัดเยียดเบียดเสียดกันอยู่ และ การเสวยทุกข์โทษในนรกขุมนี้ ก็แตกต่างกันไปหลายอิริยาบถหลายท่าหลายทาง เช่น ถ้าเคยยืนทำบาปไว้ก็ต้องมายืนทนทุกข์
อยู่ เคยนั่งเคยนอนทำบาปไว้ ก็ต้องมานั่งมานอนเสวยทุกข์อยู่ในมหานรกอเวจีนี้ รวมความว่า เคยทำบาปทำกรรมอะไรไว้ด้วย อาการอย่างไรก็ต้องมาเสวยทุกข์อยู่ในนี้ด้วยลักษณาการเช่นนั้น

         อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ที่เกิดในอเวจีนรกโลกนี้ มีประมาณหนึ่งอันตรกัป

         บุรพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ได้ทำอนันตริยกรรม ซึ่งได้แก่กรรมอย่างหนักอย่างยิ่ง ๕ ประการ คือ
         ๑. ฆ่ามารดาของตัวเองให้ตายเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่า
         ๒. ฆ่าบิดาตัวเองให้ตายเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่า
         ๓. ฆ่าพระอรหันต์ให้ตายเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่า
         ๔. ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
         ๕. ทำสังฆเภท คือ ยุยงให้สงฆ์แตกแยกกัน
ทำอนันตริยกรรม ๕ ประการนี้แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้นแตกกายทำลายขันธ์จึงต้องมาเสวยทุกข์อยู่ในนรกขุมนี้ ยกตัวอย่าง
เช่น พระเทวทัตผู้ต้องอนันตริยกรรมครั้งพุทธกาล ซึ่งเรื่องของท่านปรากฏมีในพระธรรมบทคัมภีร์ดังต่อไปนี้

พระเทวทัต

         พระเทวทัตนี้ เราท่านยอมรับทราบกันดีว่า ท่านเป็นคู่เวรคู่อาฆาตกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งมีชีวิตอยู่
ทั้งๆ ที่บวชเป็นพระภิกษุในสำนักของพระพุทธองค์ ด้วยความหลงผิด จึงได้ก่อกรรมชั่วนานาประการถึงขั้นอนันตริยกรรม คือ กลิ้งหินลงมาจากยอดเขา หวังจะให้ทับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้สิ้นพระชนมชีพ แต่ด้วยพระพุทธานุภาพ พระองค์ก็หาสิ้น พระชนม์ไม่ เพียงแค่สะเก็ดหินมากระทบพระบาททำให้ห้อพระโลหิตเท่านั้น ที่เป็นเพียงแค่นี้ก็เพราะว่าพระวรกายขององค์ พระพุทธเจ้าเป็น อเภทกาย คือ เป็นพระวรกายที่ใครจะทำร้ายให้แตกสลายไปไม่ได้ ถึงกระนั้นกรรมของพระเทวทัตก็ถึงขั้น
อนันตริยกรรม นำให้มาเกิดในอเวจีมหานรกนี้ได้แล้ว ฉะนั้น พอท่านดับจิตตาย ก็ตรงดิ่งมาสถานที่นี่ เกิดเป็นกายสัตว์นรก อเวจีสูงยอดเยี่ยมได้ ๓00 โยชน์ ยืนนิ่งไม่ไหวติงเสวยทุกข์อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมศีรษะเข้าไปในเพดานแค่หู ฝ่ายข้างเท้าก็จมลึก เข้าไปพื้นเหล็กแค่ข้อเท้า มีหลาวเหล็กเท่าต้นตาลขนาดใหญ่ แทงจากข้างหลังทะลุข้างหน้า โดยที่ปลายเหล็กทั้งสองข้างติดอยู่ ที่ข้างฝา แล้วยังหลาวเหล็กอีกกันหนึ่ง เสียบตั้งแต่ศีรษะทะลุมากลางลำตัว โดยที่ปลายเหล็กข้างหนึ่งติดอยู่บนเพดาน อีกข้าง หนึ่งจดพื้น พระเทวทัตถูกเหล็ก ๓ อันตรึงให้ยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นนี้ ก็เพราะท่านได้กระทำความผิดต่อพระพุทธองค์ผู้ไม่ทรง
หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งมวล ซึ่งนับเป็นความผิดขั้นอุกฤษ์ นอกจากจะถูกตรึงด้วยหลาวเหล็กดังกล่าวแล้ว ยังต้องถูกไปนรก
ไหม้ ทั้งๆ ที่ถูกตรึงอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา แม้จนขณะที่ยังเสวยทุกข์โทษอยู่เช่นนั้น ณ อเวจีมหานรกเพราะอนันตริยกรรมนี้
ใครทำเข้า ผู้นั้นย่อมเป็นนิยโตบุคคล เที่ยงแท้ที่จะต้องไปตกในมหานรกอเวจี

         อนึ่ง เมื่อเป็นมนุษย์ได้เคยทำครุกรรม คือ กรรมหยาบช้า เช่น บุตรธิดาทุบตีประหารบิดามารดา แต่ท่านยังไม่ตาย ต่อมาภายหลังจึงตายด้วยโรคที่ทุบตีนั้น เช่นนี้ก็จัดเป็นครุกรรมหรือมิฉะนั้น บุคคลที่ประหารทุบตีพระอรหันต์ผู้ทรงคุณ อันประเสริฐ ก็อาจนำให้ไปเกิดในอเวจีมหานรกนี้ได้ เพราะเป็นครุกรรม ยกตัวอย่าง เช่น นันทยักษ์ผู้มีจิตโมหันธ์ ล่วงอนัน ตริยกรรม แล้วไปเกิดในมหานรกอเวจี ปรากฏตามเรื่องดังต่อไปนี้

นันทยักษ์

         นันทยักษ์ตนนี้ เพื่อนมีกระบองวิเศษเป็นอาวุธประจำตัว คืนหนึ่งเป็นวันเพ็ญเดือนหงายแจ่มกระจ่างฟ้า นันทยักษ์ เหาะล่องลอยมาบนนภากาศพร้อมกับสหายตนหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินทางมาโดยนภากาศเบื้องบนอย่างสำราญใจนั้น สายตา เหลือบลงมาข้างล่าง แลเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังนั่งนิ่งศีรษะมีรัศมีเป็นมันละเลื่อมรับกับแสงจันทร์วันเพ็ญ เพราะเพิ่งปลงผม ใหม่ๆ นันทยักษ์เกิดความคิดวิตถารด้วยความคึกคะนองใจ ใคร่จะลองกระบองอันเรืองฤทธิ์ของตนให้เพื่อนชม แม้เพื่อนจะห้าม ปรามก็ไม่เชื่อฟัง เหาะลอยละลิ่วลงมาพอได้ระดับ ได้ท่าถนัดดีแล้วก็หวดกระบองวิเศษลงไปบนศีรษะของพระภิกษุรูปนั้นสุด แรงเกิด คราทีนั้นด้วยอำนาจครุกรรมอันแรงกล้านันทยักษ์ก็ถูกธรณีสูบ ขาดใจตายลงไปเกิดในอเวจีมหานรกนี้ เพราะกรรมที่ ตนทำด้วยความคึกคะนองใจนั้นเป็นกรรมหนักมาก โดยที่ตนหาทราบไม่ว่าพระภิกษุรูปนั้น คือ พระสารีบุตรมหาเถระ องค์ อัครสาวกผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐท่านกำลังเข้านิโรธสมาบัติ ซึ่งตามธรรมดา ท่านเป็นพระอรหันต์ ใครทำร้ายก็มีโทษหนัก อยู่แล้ว ยิ่งท่านกำลังเข้านิโรธสมาบัติใครประทุษร้ายก็ยิ่งมีโทษหนักขึ้น แท้จริงพระอริยเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งกำลัง เข้านิโรธสมาบัติอยู่นั้น แม้ใครจะฟันด้วยดาบจะแทงด้วยหอกด้วยหลาว หรือยิงด้วยปืนด้วยธนู และจะทำร้ายด้วยศาสตราวุธ
ใดๆ ก็ดี สรีระอินทรีย์จะได้ทำลายแตกพังก็หามิได้เลย แต่ถ้าใครประทุษร้ายในขณะนั้นย่อมมีโทษมาก ไม่ว่าผู้ทำร้ายจะเป็น
คนหรือสัตว์ก็ตาม มีตัวอย่างเช่น กาพาลสัตว์เดียรัจฉาน ตามเรื่องที่ปรากฏในพระคัมภีร์ในทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้

กาพาล

         ยังมีนางภิกษุณีรูปหนึ่งทรงคุณประเสริฐเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ อยู่มาวันหนึ่งท่านหลีกเร้นออกจากหมู่เข้าไปในป่า เห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีกิ่งก้านสาขาใบดกหนาร่มรื่นดี จึงเข้าไปนั่งเข้านิโรธสมาบัติภายใต้ต้นไม้นั้น ตามวิสัยของพระอริยเจ้า ทั้งหลาย กาตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่ที่กิ่งไม้เบื้องบน แลลงมาข้างล่างเห็นภิกษุณีนั้นนั่งนิ่ง ก็เกิดความคิดสกปรกขึ้นมาว่า " เรา จักแกล้งถ่ายอุจจาระรดศีรษะของคนคนนี้ " แล้วพยายามถ่ายอุจจาระก้อนแล้วก้อนเล่าจนถูกศีรษะของท่านจนได้ พออุจจาระ ของกาถูกศีรษะ บังเอิญท่านออกจากนิโรธสมาบัติพอดี จึงแหงนขึ้นไปดูก็รู้ว่า " กาตัวนี้แกล้งถ่ายอุจจาระรดศีรษะเรา" คิด แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินจากไป พอท่านไปคล้อยหลังเท่านั้น กาโง่ตัวคิดวิตถาร ก็มีอันตกลงมาขาดใจตายไปเกิดในอเวจีมหานรก ทันที ที่กล่าวมานี้เพื่อแสดงว่าบาปกรรมที่ทำแก่พระอรหันต์ผู้กำลังเข้านิโรธสมาบัตินั้น มีผลรุนแรงร้ายกาจเพียงไร

         ลำดับนี้จะกล่าวถึงบุรพกรรมของสัตว์ในอเวจีมหานรกต่อไป ผู้ที่ประกอบกรรมทำชั่วร้ายอันเป็นครุกรรมคือกรรมที่
หนัก ซึ่งได้แก่ ผู้ที่ลักขโมยหรือปล้นของสงฆ์ ของเจดีย์ ของพระพุทธ ทำลายโบสถ์วิหาร ศาลา กุฏิที่อยู่ของสงฆ์ ทุบตีผู้มีศีล ปู่ย่าตายาย พูดส่อเสียดยุยงให้สงฆ์วิวาทกัน บุกรุกที่นา ที่ไร่สวน ที่บ้านของผู้อื่นเอามาเป็นของตน ฆ่าผู้มีศีล ฆ่าสัตว์ใหญ่ ติเตียน ด่าว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตีด่าท่านผู้มีคุณ คือพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ เหล่านี้จัดเป็นครุกรรม โทษถึงตก นรกอเวจี แต่ว่าไม่เที่ยงแท้เหมือนอนันตริยกรรม

         อนึ่ง ผู้ที่แสดงตนเป็นทายก เที่ยวเรี่ยไรบอกบุญหลอกเอาทรัพย์เขามาว่าจะทำกุศล แต่ไม่ทำ ไม่สร้าง กลับมาเอามา แบ่งปันกันเลี้ยงตน เลี้ยงบุตรภรรยา มีโลภเจตนาคิดแต่จะได้ บาปกรรมเหล่านี้จัดเป็นครุกรรม นำมาให้เกิดในอเวจีมหานรก
นี้ได้

         อนึ่ง คนโฉดเขลาใจเบามีโทสะ ประพฤติเป็นโจรเป็นเสือ คอยปล้นทรัพย์ผู้อื่นเอามาเลี้ยงชีวิต ทำทุจริตผิดศีลธรรม เพราะใจชั่วช้าลามก เป็นคนรกโลก อย่างนี้ก็จัดเป็นครุกรรม ทำให้มาเกิดในอวเจีมหานรกเช่นเดียวกัน

         นอกจากนั้น ยังมีกรรมอีกประเภทหนึ่ง คืออาจิณกรรมหรือบาปกรรมที่ทำอยู่เนืองนิตย์ก็อาจผลิตผลส่งให้คนทำลงมา เกิดในอเวจีมหานรกได้ เช่นอย่างไร? เช่นว่าประพฤติตนเป็นคนทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์อยู่เสมอทุกๆ วัน อทินนาทาน การลัก ทรัพย์ก็ลักเป็นอาชีพ ลักขโมยเขาอยู่แทบทุกวัน กาเมสุมิจฉาจาร ทำผิดประเวณีร่วมเมียผัวผู้อื่นก็ทำอยู่เป็นนิตย์ มุสาวาท มี สันดานเป็นคนโกหกมุสาวาทหลอกลวงไม่ว่างเว้น ทำเป็นอาจิณกรรมอยู่เสมออย่างนี้ พอแตกตายทำลายขันธ์ กรรมชั่วเหล่านี้ ก็บันดาลให้มาบังเกิดทนทุกขเวทนาอยู่ในอเวจีมหานรกนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

         มหานรกทั้ง ๘ ขุมที่กล่าวมานี้ เป็นสถานที่ซึ่งมีสภาพเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นประเทศที่ร้อนระอุ เต็มไปด้วย
ไฟนรกอยู่เนืองนิตย์ทุกขุม ก็แลความร้อนแรงร้ายกาจของไฟมหานรกนั้น จะหาความร้อนแรงอันใดในมนุษย์โลกมาเทียบเท่า
เป็นไม่มีเลย พึงอนุมานดูความร้อนของไฟนรกตามเรื่องที่ปรากฏมีในพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้

ไฟในมหานรก

         ยังมีบุรุษวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง เพื่อนเป็นคนใจบาปหยาบช้า สำเร็จกิจเลี้ยงชีพด้วยปาณาติบาตกรรม เป็นพรานไพรท่อง เที่ยวไปในอรัญราวป่าล่าเนื้อล่าสุกรเป็นกิจวัตรไม่มีขาด อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนเข้าไปในป่าล่าสัตว์ได้ ก็จัดการย่างด้วยถ่านเพลิง กินจนอิ่มหนำสำราญแล้วเที่ยวล่าสัตว์ต่อไป เกิดกระหายน้ำขึ้นมา จึงแวะเข้าไปในวัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระภิกษุผู้ เป็นฝ่ายอรัญวาสี แลเห็นหม้อน้ำตั้งอยู่ อารามที่กำลังหิวกระหาย จึงตรงรี่เข้าไปหมายใจจะได้ดื่มน้ำให้เต็มอิ่ม ครั้นเปิดหม้อ ขึ้นมาหาเห็นน้ำไม่ ก็โทมนัสขัดเคืองใจเป็นยิ่งนัก

         " เว้ย...เฮ้ย พระสมณะหัวโล้น " พรานไพรตะโกนออกมาด้วยความขัดเคือง " ใครอยู่ที่นี่ ช่างเป็นคนถ่อยขี้เกียจเสีย เต็มประดา กินข้าวปลาของชาวบ้านแล้วก็นอนหลับสบายใจ น้ำท่าในตุ่มแม้แต่พอเปียกชุ่มมือ ก็ไม่มีปัญญาจะหาใส่ไว้ช่าง
กระไรจึงเป็นคนชั่วชาติถึงปานนี้ " เขาบ่นพึมพำในตอนท้ายด้วยความไม่พอใจ

         พระมหาเถระผู้เป็นเจ้าของถิ่น ได้ยินเสียงพรานไพรมากล่าวคำผรุสวาทยกโทษเช่นนั้น ก็ให้แปลกใจเป็นกำลังว่าเรา ตักน้ำไว้เต็มบริบูรณ์ทีเดียว เหตุไฉนจึงไม่มีน้ำเล่า พระผู้มีเจ้าจึงออกไปเปิดหม้อน้ำดู ก็เห็นน้ำยังเต็มหม้อเป็นปกติ จึงชี้มือ พลางกล่าวว่า

         " นี่ไงเล่าน้ำ เชิญท่านตักดื่มเองตามใจเถิด "
         " น้ำท่าที่ไหน " บุรุษนั้นตอบสวนคำทันควัน " ตัวเป็นสมณะ ไยจึงมาประพฤติตนเป็นคนโกหกซึ่งๆ หน้าเสียเช่นนี้ก็ เป็นได้ " เขากล่าวต่อไปเพราะตนมองไม่เห็นน้ำจริงๆ

         พระผู้เป็นเจ้าได้ฟังดังนั้น ก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นอกุศลกรรมนิยม เป็นตัวการดลบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น จึงยืนสง เคราะห์คอยตักน้ำส่งให้บุรุษนั้นดื่มจนเต็มอิ่มถึง ๓๒ จอก พอดื่มน้ำอิ่มแล้วบุรุษพรานป่าก็หายโทสะได้สติคิดว่า " หม้อน้ำเต็ม บริบูรณ์ด้วยน้ำอันเยือกเย็น แต่ด้วยอกุศลกรรมของเราหนา จึงปรากฏแก่สายตาเราดุจไม่มี อำนาจอกุศลกรรมนี้ให้โทษเห็น ประจักษ์แต่โลกนี้สิยังให้ผลเห็นปานนี้ ต่อไปในอนาคตโลกหน้าจะให้ผลเป็นประการใด " คิดได้ดังนี้ก็ให้รู้สึกสังเวชทุเรศตัวเอง จึงทิ้งธนูหน้าไม้เสีย แล้วขอบรรพชาเป็นสามเณรในพระบวรพุทธศาสนาตั้งแต่บัดนั้น

         เมื่อบวชแล้วสามเณรก็อุตส่าห์ตั้งใจบำเพ็ญธรรมปฏิบัติกรรมฐาน ในขณะที่ทำกรรมฐานอยู่นั้น บรรดาเนื้อสุกรและ
สัตว์ต่างๆ ที่ตนเคยฆ่ามาก็มาปรากฏในห้วงนึกให้ระลึกถึงอกุศลกรรมที่ตนทำไว้แต่ก่อนทุกแห่ง จิตก็เดือดร้อนดิ้นรนกระวน กระวาย มิอาจจะดำเนินตามพระกรรมฐานได้ ครั้นเจริญพระกรรมฐานไม่ได้ก็เสียใจ ใคร่จะสึกโดยนึกว่าตนเป็นคนหมดบุญ วาสนาเสียแล้ว จึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์นมัสการแล้วบอกความ

         พระมหาเถระจึงว่า " ดูกรสามเณร ท่านจะสึกเราก็ไม่ว่า แต่ก่อนจะสึกท่านจงทำความสะอาดถากถางที่บริเวณเหล่านี้ ให้เรียบร้อยเสียก่อน "

         สามเณรก็รับคำพระอุปัชฌาย์ออกมาปัดกวาด เห็นสถานที่ใดเกะกะด้วยกิ่งไม้ก็ตัดด้วยมีดพร้า มิช้าก็เอามาสุมเป็น กองใหญ่ ทำอย่างรวดเร็วเพราะตนเป็นคนทรงพลัง ด้วยเคยเป็นพรานป่ามาก่อน เสร็จแล้วก็กลับมากราบเรียนพระเถระเจ้า

         " เกล้ากระผมปัดกวาดจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ " สามเณรประนมมือกล่าวด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่ง
         " ก็แล้วกองกิ่งไม้โน้นเล่า เสร็จแล้วหรือยัง? " พระเถระเจ้ากล่าวพลางชี้มือถาม
         " กิ่งไม้เหล่านั้นยังสดอยู่ เกล้ากระผมคิดว่าจะทิ้งไว้ก่อน " สามเณรตอบ
         " ทิ้งไว้อย่างนั้นจะดีหรือ? เจ้าจงเอาไฟจุดเผาเสียก่อนดีกว่า " พระเถระเจ้าสั่งต่อไป

         ด้วยความเคารพในพระเถระ เจ้าสามเณรไม่ทันนึกถึงสิ่งใด รีบมาที่กองกิ่งไม้พยายามจุดไฟจนแล้วจนรอดเพลิงก็หา ติดไม่ ก็จะติดได้อย่างไรเล่า เพราะว่ากิ่งไม้เหล่านั้นมันเป็นกิ่งไม้สดๆ ทั้งสิ้น พอหมดปัญญาเข้า เจ้าสามเณรก็ได้แต่กอดเข่า เหนื่อยหอบทอดถอนใจอยู่ข้างกองกิ่งไม้นั้น

         " ทำไมจึงไม่เผาเสียเล่า เจ้าสามเณร นั่งคิดอะไรอยู่รึ? เสียงพระเถระซึ่งมายืนข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ถามขึ้น สาม เณรตกใจจึงกราบเรียนว่า
         " มันจุดไม่ติดขอรับ ไม้ยังสดอยู่ "
         " ถ้าอย่างนั้น จงหลีกไป เราจะจัดการเอง "

         กล่าวแล้ว พระเถระเจ้าก็บันดาลให้แผ่นปฐพีแยกออกเป็นสองภาคด้วยกำลังฤทธิ์พระอรหันต์ แล้วพระผู้เป็นเจ้าจึงยื่น หัตถ์ลงไปหยิบเอาไฟในอเวจีมหานรกขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ประมาณเท่าแสงหิ่งห้อย แล้วทิ้งลงไปบนกองไม้สดนั้น เพลิงก็ติดรุ่ง
โรจน์โชตนาการเปรียบปานไม้แห้ง บัดเดี๋ยวใจกองไม้สดนั้นก็ไหม้ยับยุบลงสิ้นถ่านสิ้นขี้เถ้า พระเถระเจ้าครั้นสำแดงสภาพ อเวจีมหานรก พร้อมกับอำนาจไฟอันร้อนแรงในนรกให้สามเณรได้เห็นประจักษ์ตาเช่นนี้แล้วจึงให้โอวาทว่า

         " ถ้าท่านจะสึกออกไปจากพระศาสนา ท่านตายไปแล้ว ก็จะต้องลงไปทนทุกขเวทนาในอเวจีมหานรกนี้ เพราะบาป กรรมท่านทำไว้มิใช่น้อย แต่ถ้าอุตส่าห์ยึดเอาพระศาสนาเป็นที่พึ่ง บำเพ็ญธรรมไปจนถึงมรรคผลบังเกิดขึ้นนั่นแหละจึงยกตน ขึ้นจากนรกได้ เพราะมรรคผลเป็นเครื่องปิดประตูแห่งอบาย ท่านเห็นอเวจีมหานรกประจักษ์แก่ตาตนเองวันนี้แล้ว ยังสมัครใจ จะไปนรกหรือว่าจะคิดหนีก็จงคิดดูให้ดีเถิด "

         สามเณรเกิดอัศจรรย์ใจ ตั้งแต่พระเถระเจ้าทำปฏิหาริย์แหวกพื้นปฐพีให้แลเห็นอเวจีมหานรกแล้ว ครั้นมาถูกพระมหา เถระเจ้าพยากรณ์ตนว่าจะต้องไปอยู่ในอเวจีเช่นนี้ ก็เกิดความกลัวยิ่งนัก มีจิตกัมปนาทหวาดหวั่นนิรยภัยเป็นกำลัง จึงจะล่ำละ ลักถามว่า

         " ถ้าเกล้ากระผมไม่สึกแล้ว จะพ้นจากนรกได้หรือขอรับ? "
         พระเถระเจ้าจึงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า
         " ก็ไม่แน่ แต่ว่าพระพุทธศาสนานี้เป็นนิยยานิกธรรม สามารถนำสัตว์ให้พ้นจากกองทุกข์ กองภัย หรือกองไฟนรกได้ ถ้าท่านมีเพียรศรัทธา หมั่นปฏิบัติบำเพ็ญธรรมจนมรรคผลบังเกิด แม้ไม่มาก เพียงแต่ข้ามโคตรภูญาณให้มรรคผลขั้นแรกบัง
เกิด อย่างนี้ก็เป็นอันว่าท่านไม่ต้องไปเกิดในนรกในอบายภูมิแล้ว แต่ถ้าท่านเกียจคร้านเต็มไปด้วยความประมาทมัวเมาในชีวิต ไม่คิดถึงภัยในนรกข้างหน้า เป็นประดุจคนตาบอดมองไม่เห็นทาง ใช้ชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรมอย่างนี้ ถึงจะบวชไม่สึกไป
จนตายก็หาพ้นจากนรกไม่

         ตั้งแต่วันนั้นมา เจ้าสามเณรก็อุตส่าห์พยายามปฏิบัติธรรมอย่างไม่คิดชีวิต เพราะอเวจีมหานรกมาคอยเตือนจิตให้ หวาดกลัวอยู่เสมอ ในที่สุดก็บรรลุตติยมรรค เป็นพระอนาคามีอริยบุคคลในพระบวรพุทธศาสนา เป็นอันพ้นจากมรรคาแดน นรกไปได้ ด้วยประการฉะนี้

         ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ไฟในมหานรกทั้งหลายนั้นร้อนแรงยิ่งนัก เพียงแต่ประมาณเท่าแสงหิ่งห้อยที่พระเถระเจ้าหยิบ เอามา ก็สามารถที่จะเผาผลาญกองไม้สดกองใหญ่ให้ไหม้ยับยุบลงเพียงพริบตา สัตว์นรกที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา
นาน จะได้รับความร้อนรนเพียงไหน ก็จงพิจารณาดูเถิด

อุสสุทนรก

         บรรดามหานรกทั้ง ๘ นั้น หาใช่อยู่ในพื้นที่เดียวกันไม่ ความจริงอยู่ไกลกันมาก จะเรียกว่าขุมหนึ่งๆ เป็นโลกหนึ่งๆ
ก็ได้ นรกแต่ละขุมนอกจากจะมีขุมใหญ่ที่สุดดังที่ว่ามาแล้วยังมีขุมเล็กรองลงมาเป็นบริวารล้อมรอบอีก ๔ ทิศ ทิศละ ๔ ขุม รวมทั้งหมดจึงเป็น ๑๖ ขุมด้วยกัน นรกขุมเล็กทั้ง ๑๖ ขุมนี้เรียกว่า อุสสุทนรก เป็นขุมนรกบริวารล้อมรอบนรกขุมใหญ่ อุสสุทนรกนี้ มีอยู่ทั้งหมดด้วยกัน ๑๒๘ ขุม คือ

         ๑. ล้อมรอบสัญชีวมหานรก                              ๑๖      ขุม
         ๒. ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก                           ๑๖      ขุม
         ๓. ล้อมรอบสังฆาฏมหานรก                             ๑๖      ขุม
         ๔. ล้อมรอบโรวรุวมหานรก                              ๑๖      ขุม
         
         ๕. ล้อมรอบมหาโรวรุวมหานรก                          ๑๖      ขุม
         ๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก                               ๑๖      ขุม
         ๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก                          ๑๖      ขุม
         ๘. ล้อมรอบอเวจีมหานรก                                ๑๖      ขุม
         รวมเป็นอุสสุทนรก                                      ๑๒๘     ขุม

         ในที่นี้จักขอกล่าวอุสสุทนรกเพียง ๔ ขุม ซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารของมหานรกที่ ๑ คือ สัญชีวนรกเท่านั้น เพราะว่า อุสสุทนรกที่เหลือในทิศอื่นก็ดี และที่ล้อมรอบเป็นบริวารในมหานรกอื่นก็ดี ก็มีชื่อเหมือนกัน จะต่างกันแต่เพียงโทษหนักเบา ตามชั้นของมหานรกทั้งหลายเท่านั้น

๑. คูถนรก

         ครั้นสัตว์นรกพ้นโทษทุกข์จากมหานรกขุมใหญ่แล้ว หากกรรมยังไม่สิ้นก็เคลื่อนออกๆ ไปอยู่ในนรกบริวารที่ใกล้ชิด มหานรกอันดับที่ ๑ คือ คูถนรก ในคูถนรกนี้เต็มไปด้วยหมู่หนอนทั้งหลายเป็นอันมาก ซึ่งแต่ละตัวมีปากแหลมดังเข็ม ทั้งตัว อ้วนพีใหญ่โตเท่าช้างสาร แลดูน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายมีโอกาสออกไปจากนรกขุมใหญ่แล้วก็ดีใจยิ่งนัก แต่ไม่ช้าก็ถูกนายนริยบาลต้อนให้ลงไปในคูถนรก เมื่อตกลงไป หมู่หนอนนรกทั้งหลายก็แสดงอาการดีเนื้อดีใจเข้าล้อมกายสัตว์ นรกนั้น แล้วพากันกัดเนื้อกินอย่างเอร็ดอร่อยจนเหลือแต่กระดูก เมื่อเหลือแต่กระดูก ก็พากันแทะกินกระดูกต่อไปให้ได้รับทุกข์ ทรมานหนักยิ่งขึ้น หนอนนรกบางตัวที่ยังเล็กพอเข้าไปในกายสัตว์นรกอันใหญ่โตได้ ก็พากันไต่เข้าไปในปากแล้วก็กัดกินไส้
น้อย ไส้ใหญ่ ตับ ปอด แล้วก็ลอดออกมาทางทวารเบื้องล่าง กัดกินอวัยวะภายใน เสร็จแล้วก็ออกมาทางปาก ทำไมสัตว์นรก
เหล่านั้น จึงปล่อยให้หนอนนรกทำร้ายเอาเช่นนี้ไฉนจึงไม่ต่อสู้? จะสู้ได้อย่างไรเล่า เพราะว่าหนอนเหล่านั้นไม่ใช่หนอนธรรมดา แต่มันเป็นหนอนเวรหนอนกรรมเป็นหนอนนรก เกิดขึ้นด้วยอำนาจอกุศลกรรมของสัตว์นรกเหล่านั้นเอง

๒. กุกกุฬนรก

         ต่อจากคูถนรกก็ถึงอุสสุทนรกที่ ๒ ซึ่งมีชื่อว่า กุกกุฬนรก นรกขุมนี้มีเถ้าถ่านซึ่งรุ่มร้อน สำหรับเผาสัตว์นรกทั้งหลาย ให้ได้รับทุกขเวทนากล้าแข็ง เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายพ้นโทษจากคูถนรกแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น ก็จะต้องมาตกนรกขุมนี้ ถูกเถ้า อันร้อนแรงเผาสรีระร่างกายให้ไหม้ยับย่อยละเอียดเป็นจรุณไป กรรมยังไม่สิ้นตราบใด ก็ต้องทนรับทุกข์ไปตราบนั้น ตามผล กรรมชั่วที่ตนได้กระทำมา

๓. อสิปัตตนรก

         พอพ้นกำแพงของกุกกุฬนรก ก็มาถึงอุสสุทนรกขุมที่ ๓ ซึ่งมีชื่อว่า อสิปัตตนรก นรกขุมนี้มีไม้มะม่วงใหญ่ใบดกครึ้ม หลายต้น ดูประหนึ่งสวนอุทยาน ครั้นสัตว์นรกทั้งหลายหลุดจากกุกกุฬนรกได้ พอมาถึงขุมนรกนี้ต่างก็ดีเนื้อดีใจจึงชวนกันว่า

         " เราทั้งหลายพากันเข้าไปอาศัยในสวนมะม่วงนั่นเถิด คงจะสุขกายสบายใจเสียที เพราะได้รับความทุกข์ ยากมานานนักหนา "

         สัตว์นรกทั้งหลายชักชวนกันด้วยภาษานรกว่าดังนี้แล้ว ก็พากันเข้าไปนั่งนอนใต้ต้นมะม่วงทันใดพอเข้าไปนั่งนอนยัง ไม่ทันได้รับความสบายดังที่หวังไว้ ก็มีอันให้เป็นไปด้วยแรงอกุศลดลบันดาลให้มีลมกรรมพัดมา ใบมะม่วงดกครึ้มหนาก็กลาย เป็นหอกเป็นดาบอันคมกล้าหลุดร่วงลงมาถูกกายาแห่งสัตว์นรกเหล่านั้น ทำให้เป็นแผลเหวอะหวะ บางทีก็ขาดเป็นท่อน ถูก
แขน แขนก็ขาด ถูกขา ขาก็ขาด เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์นรกจึงพากันวิ่งหนีออกจากที่นั่นโดยเร็ว ในขณะนั้นก็ปรากฏกำแพง
เหล็ก มีเปลวไฟลุกแดงโร่ ชำแรกปฐพีผุดขึ้นมาขวางหน้าไว้ สัตว์นรกทั้งหลายผู้มีบาดแผลเต็มไปทั่วทั้งร่าง เลือดแดงฉาน วิ่งวนไปมา คราทีนั้นยังมีสุนัขนรกทั้งหลายมีร่างกายใหญ่โตเท่าช้างสาร วิ่งมาขบกัดกินเลือดเนื้อจนเหลือแต่กระดูก นอกจาก
นั้นแล้วยังมีแร้งนรกมีปากเป็นเหล็กตัวโตใหญ่เท่าเกวียนเท่ารถ พากันเยื้อแย่งจิกทั้งเนื้อกินเป็นอาหาร กรรมยังไม่สิ้นตราบใด
ก็จำต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่ในอสิปัตตนรกตราบนั้น

๔. เวตรณีนรก

         ถัดจากอสิปัตตนรกนั้นไป ก็มาถึงอุสสุทนรกอันดับที่ ๔ ซึ่งมีชื่อว่า เวตรณีนรก ณ สถานที่นี่เต็มไปด้วยน้ำเค็มตั้งอยู่ ชั่วกัป มีเครือหวายหนามเหล็กล้อมอยู่โดยรอบเป็นขอบขัณฑ์ ในท่ามกลางนั้น ปรากฏเป็นปทุมชาติ ทำให้สัตว์นรกทั้งหลาย
เข้าใจว่าเป็นแม่น้ำอันเย็นสนิท พอตนพ้นจากอสิปัตตนรกมาถึงที่นี่ เห็นแม่น้ำเข้าก็ดีใจหวังจะอาบดื่มกินให้สบายวิ่งมาโดยเร็ว พอมาถึงก็รีบกระโจนลงไป เครือหวายเหล็กซึ่งคมเหมือนหอกเหมือนดาบก็บาดร่างกายให้เป็นแผลในน้ำเค็ม เขาทั้งหลายย่อม ประสบทุกขเวทนาทั้งเจ็บทั้งแสบ แล้วก็ให้มีอันเป็นเกิดเปลวไฟลุกไหม้เผาทั้งๆ ที่อยู่ในแม่น้ำ ไฟไหม้ร่างกายของเขาให้ดำไหม้ เกรียมเหมือนกับไหม้ต้นไม้ในป่า ทำให้ร่างกายห้อยระย้าบนเครือหนามหวาย ร้องดิ้นกระวนกระวายในไม่ช้าก็ตกลงไปต้อง
ดอกบัวหลวงอันมีกลีบคมเป็นกรด ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำเค็ม มีเปลวไฟติดอยู่ตลอดเวลา ใบบัวเหล็กแดงอันคมนั้นก็บาดร่างกาย
ให้ขาดวิ่น ทำให้เจ็บแสบทั้งเนื้อตัวแสนสาหัส ดิ้นทุรนทุรายเช่นปลาถูกทุบหัวฉะนั้น บัดเดี๋ยวใจก็พลันตกจากกลีบบัวนรกลงไป เขาจึงมาคำนึงในใจว่า

         " มากูจะดำลงไปในน้ำนี้เถิด ชะรอยจะพบน้ำเย็นภายใต้โพ้นบ้างกระมัง "

         สัตว์เวตรณีนรกนั้น ครั้นคิดเห็นเป็นดีงามเช่นนั้นแล้วจึงกลั้นใจดำลงไป ก็ต้องถูกคมมีดคมดาบอันหงายอยู่ใต้พื้นน้ำ บาดเอา ทำให้ร่างกายเขาเหวอะแหว่งหนักเข้าไปอีก ต้องร้องสะดุ้งหวาดเสียวด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

         บางพวกพอวิ่งมาถึงแม่น้ำเค็มนั้น เห็นเพื่อนกำลังเสวยทุกข์อยู่ ใจก็สยดสยองไม่กล้าลงไป ยืนออกันเป็นหมู่บนขอบ
นรก นายนริยบาลทั้งหลายจึงบังคับขับไสไล่กระหน่ำตีด้วยค้อนเหล็กลงไป ก็ต้องวิ่งหนีจนล้มลุกคลุกคลาน เมื่อล้มแล้วก็ตั้งใจ จะรีบลุก ด้วยเกรงภัยจากนายนริยบาลผู้ตามติดมาข้างหลัง มือทั้งสองข้างก็กลับจมลงไปในแผ่นเหล็กลุกขึ้นไม่ได้ นายนริยบาล ก็คุกคามเอาว่า

         " สูทั้งหลายจึงลุกขึ้น ... สูมึงทั้งหลาย จงพากันลงไปในแม่น้ำเดี๋ยวนี้ "

         ประกาศิตเป็นคำสั่งดังนี้แล้ว นายนริยบาลผู้มีอำนาจใหญ่ในขุมนรก ก็เอาค้อนตีประเคนลงบนศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก สัตว์นรกทั้งหลายทนไม่ได้ก็ต้องลุกขึ้น มือทั้งสองข้างก็ขาดติดอยู่กับแผ่นเหล็กนั่นเอง ครั้นลงไปในแม่น้ำก็ต้องถูกใบบัวเหล็ก
คมเป็นกรดบาดร่างกายขาดเป็นแผลใหญ่แผลน้อยว่ายไปว่ายมาน้ำเค็มแทรกเข้าไปในแผล ก็เจ็บแสบเสวยทุกขเวทนาร้องไห้ ครวญครางแลดูน่าสงสารยิ่งนัก

         เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องถูกนายนริยบาล ซึ่งมีมือถือหอกแหลนหลาว เงือดเงื้อขึ้นแล้วก็จ้วงแทงเอาๆ เช่นบุรุษใน มนุษย์โลกแทงปลาในน้ำด้วยฉมวกก็ปานกัน ครั้นแล้วนายนริยบาลก็เอาเบ็ดเกี่ยวลากขึ้นมา บังคับให้นอนหงายเหนือแผ่น
เหล็กแดง แล้วเอาหลาวเหล็กงัดปากให้อ้าขึ้นแล้วจึงเอาก้อนเหล็กซึ่งกำลังลุกแดงโพลงยัดใส่เข้าไปในปาก พอถึงปากๆ ก็ไหม้ ตกมาถึงคอๆ ก็ไหม้ พอถึงท้องก็ไหม้ไส้ใหญ่ให้ทะลักทลายออกมา สัตว์นรกเหล่านั้นทำอกุศลกรรมอะไรไว้ ไฉนจึงต้องมาทน
ทุกขเวทนาเป็นปานนี้?

         ที่ต้องมาเสวยทุกขเวทนาเช่นนี้ ก็เพราะในชาติก่อนคนเคยเผาสัตว์ทั้งเป็นให้ถึงแก่สิ้นชีวิต กรรมเลยผลิตผลให้มาได้ รับทุกข์โทษในนรกนี้ ต้องมาเสวยเวทนาแสนสาหัส

         อีกประการหนึ่ง ในชาติก่อนเคยเป็นพระภิกษุสามเณรไม่สำรวมระวังไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์ตามพระพุทธบัญญัติสิกขา
บท รู้ตัวว่าล่วงละเมิดศีลแล้วก็ไม่ทำคืนอาบัติ ไม่ทำตนให้บริสุทธิ์แล้วยังขืนบริโภคก้อนข้าวของชาวบ้านอยู่ ครั้นดับขันธ์ถึง แก่มรณภาพแล้ว เจ้ากูเหล่านั้นก็ต้องมากินก้อนเหล็กแดงในนรกขุมนี้เหมือนกัน

         ครั้นนายนริยบาลเห็นสัตว์นรกกินก้อนเหล็กแดงร้องไห้ครวญครางเสวยทุกขเวทนาอยู่อย่างนั้น ก็คล้ายมีใจสงสารร้อง ถามไปว่า " ท่านอยากจะกินอะไร? " สัตว์นรกจึงตอบว่า " ข้าพเจ้าอยากกินน้ำ " นายนริยบาลก็เอาน้ำทองแดงมากรอกลงใน ปาก พอน้ำถึงปากๆ ก็พังแตกทลาย น้ำถึงคอถึงท้องคอและท้องก็พังพินาศ พอตกถึงลำไส้ใหญ่น้อยก็ขาดกระจุยกระจายเรี่ย รายออกมา ถามว่า ไฉนจึงเป็นอย่างนี้?

         เมื่อชาติก่อนเป็นคนดื่มสุราเมรัย มีจิตใจประมาทในการกุศล ครั้นทำลายขันธ์สิ้นชนม์แล้ว จึงต้องมารับทุกข์โทษใน นรกขุมนี้ ถูกนายนริยบาลเอาน้ำทองแดงใส่ปากให้เสวยทุกข์ลำบากสิ้นกาลช้านาน กรรมยังไม่สิ้นตราบใดก็ต้องทนทุกข์ไปตราบ
นั้น

         อุสสุทนรกทั้ง ๔ ขุมที่กล่าวมานี่ คือ

         ๑. คูถนรก
         ๒. กุกกุฬนรก
         ๓. อสิปัตตนรก
         ๔. เวตรีณีนรก

         อุสสุทนรกทั้งหมดนี้ ตั้งอยู่เรียงลำดับกันไปในทิศบูรพาเบื้องหน้าของสัญชีวนรก แม้ทิศอื่นอีก ๓ คือ ทิศหลัง ทิศเบื้อง ขวา และทิศเบื้องซ้าย ก็มีอุสสุทนรกทั้ง ๔ นี้ ตั้งเป็นลำดับเช่นเดียวกัน รวมอุสสุทนรกทั้ง ๔ ทิศ ที่ล้อมรอบสัญชีวมหานรก จึงเป็น ๑๖ ขุมพอดี มหานรกมี ๘ ขุม แต่ละขุมมีอุสสุทนรกนี้ล้อมเป็นบริวารขุมละ ๑๖ จึงรวมเป็น ๑๒๘ ขุมพอดี อันที่จริง ความข้อนี้ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น แต่เพื่อให้เข้าใจและจำได้ง่ายจึงได้นำมากล่าวย้ำไว้ในที่นี่อีกครั้งหนึ่ง

ยมโลกนรก

         สัตว์นรกทั้งหลาย ครั้นเสวยกรรมในอุสสุทนรกที่กล่าวมานี่แล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องไปเสวยกรรมในนรกอีก ประเภทหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่ต่อจกาอุสสุทนรกไป นรกประเภทนี้มีชื่อว่า ยมโลกนรก แม้เหล่ามนุษย์สัตว์โลกทั้งหลายที่ทำ กรรมชั่วปาบหยาบช้าไว้พอดีพอร้าย ไม่ถึงขั้นที่จะต้องตกในมหานรกหรืออุสสุทนรก ก็ต้องมาตกอยู่ในยมโลกนี้ เสวยทุกข เวทนาไปจนกว่าจะสิ้นกรรม

         ยมโลกนรกนี้ล้อมรอบเป็นนรกบริวารชั้นนอกของมหานรกทั้ง ๘ มหานรกขุมหนึ่งๆ มียมโลกนรกล้อมเป็นบริวารอยู่ ทิศหน้า ๑0 ขุม ทิศหลัง ๑0 ขุม ทิศซ้าย ๑0 ขุม ทิศขวา ๑0 ขุม รวมทั้ง ๔ ทิศ ก็เป็น ๔0 ขุม จึงเป็นอันว่ายมโลกนรกนี้มีอยู่ ทั้งหมดด้วยกัน ๓๒0 ขุม คือ

         ๑. ล้อมรอบสัญชีวมหานรก                              ๔0      ขุม
         ๒. ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก                           ๔0      ขุม
         ๓. ล้อมรอบสังฆาฏมหานรก                             ๔0      ขุม
         ๔. ล้อมรอบโรวรุวมหานรก                              ๔0      ขุม
         
         ๕. ล้อมรอบมหาโรวรุวมหานรก                          ๔0      ขุม
         ๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก                               ๔0      ขุม
         ๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก                          ๔0      ขุม
         ๘. ล้อมรอบอเวจีมหานรก                                ๔0      ขุม
         รวมเป็นยมโลกนรก                                      ๑๒๘     ขุม

         ในที่นี้ จักขอกล่าวแต่เพียงยมโลกนรกที่ตั้งอยู่ล้อมรอบสัญชีวใหานรกเพียงทิศเดียว ซึ่งมี ๑0 ขุมเท่านั้น เพราะว่า ยมโลกทิศอื่นๆ ก็ดี และยมโลกนรกที่ล้อมเป็นบริวารในมหานรกอื่นๆ ก็ดี ก็มีชื่อและมีการเสวยทุกข์โทษเหมือนกัน จะแตก ต่างกันอยู่บ้างก็เพียงแต่ว่า มีการเสวยทุกข์โทษหนักเบาตามชั้นของมหานรกนั้นๆ เท่านั้น เมื่อทราบและเข้าใจได้เพียง ๑0 ขุมในทิศเดียว ก็เป็นอันทราบยมโลกในทิศอื่นและในชั้นอื่นทั้งหมด เพราะมีชื่อและลักษณะเหมือนๆ กันกับยมโลกทั้ง ๑0 ขุม ตามที่จะกล่าวต่อไปนี้

๑. โลหกุมภีนรก

         ยมโลกนรกขมที่ ๑ มีชื่อว่า โลหกุมภี ในนรกขุมนี้มีหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำแสบน้ำร้อน เดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ตั้งอยู่บนเตาไฟใหญ่ นายนิรยบาลร่างกายใหญ่โตจับสัตว์นรกทั้งหลายที่ข้อเท้าเอาหัวคว่ำลงแล้ว หย่อนทิ้งลงไปในหม้อเหล็กนรกนั้นสัตว์นรกทั้งหลายโดนลงโทษเช่นนี้ ก็ได้รับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อน จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตน กระทำมา คือ เมื่อชาติก่อนตอนที่ยังเป็นมนุษย์ เคยทำกรรมชั่วจับเอาสัตว์เป็นๆ มาใส่ในหม้อร้อนให้ตาย แล้วเอามากินเป็น อาหาร หรือมิฉะนั้นก็ทำชั่วหยาบอื่นๆ ควรจะเสวยทุกข์ในมหานรกแล้ว แต่ภายหลังกลับสำนึกตนพยายามประกอบการกุศล บาปกรรมที่ติดอยู่ในจิตใจค่อยคลายลง จึงต้องมาได้รับทุกข์โทษเพียงมาเกิดในโลหกุมภีนรกนี้ มีตัวอย่างเช่น พระเจ้าอชาต ศัตรูผู้ทำปิตุฆาตกรรมแต่ปางบรรพ์

อชาตศัตรูราชา

         เราท่านทั้งหลาย บรรดาที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ย่อมจะทราบได้เป็นอย่างดีว่า องค์อชาตศัตรูนี้ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระราชกุมารรุ่นดรุณวัย ได้นับถือพระเทวทัตเป็นอาจารย์ เพราะเห็นปาฏิหารที่พระเทวทัตสำแดง ในที่สุดพระเทวทัตก็วางแผนการอุบาทว์ โดยให้อชาตศัตรูกุมารนี้เป็นกบฏ จับเจ้า พิมพิสารไปขังแล้วสั่งให้ลงโทษทรมาน จนพระราชบิดาสวรรคตลงในที่คุมขัง แล้วตั้งตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง ต่อมา ภายหลังได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธองค์ จึงทรงสำนักถึงความผิดที่ทรงทำแก่พระราชบิดา แล้วเศร้าเสียพระราชหฤทัยยิ่ง
นักหนา จึงทรงจำเริญพระราชศรัทธาปสาทะ อุตสาหะบำเพ็ญกุศลในพระศาสนามากมาย ถ้าไม่มีกรรมชั่วมาติดตน ก็อาจ จะได้มรรคผลนิพพานแต่ก็ถูก ปิตุฆาตกรรมมาประหารเสียจึงไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นพุทธกาลพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ใน ครั้งสุดท้ายได้ทรงมีพระราชวโรกาสบำเพ็ญพระราชกุศลครั้งใหญ่ ยากที่ผู้อื่นจะกระทำได้เสมอเหมือน คือ ทรงรับเป็นพระ บรมราชูปถัมภ์ ทรงเป็นเจ้าภาพในการสังคายนพระไตรปิฎกครั้งแรกในโลก ซึ่งองค์พระสงฆ์ที่กระทำล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทั้งสิ้น นับว่าองค์อชาตศัตรูราชานี้ได้ทรงทำคุณประโยชน์ไว้แก่พระพุทธศาสนา และแก่ปัจฉิมชน ตาชนผู้เกิดมาพบพระศาสนาในภายหลังเช่นเราท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ และต่อไปภายหน้าอีกเป็นอันมาก ยากที่ใครจะลืม เลือนได้ ครั้นเสร็จสิ้นการสังคายนาพระธรรมวินัยแล้ว ก็ทรงมีพระราชศรัทธาปสาทะสร้างบุญกุศลอย่างอื่นอีกมากมาย โดย เฉพาะอย่างยิ่งในด้านส่วนพระองค์ทรงมี ความเคารพเลื่อมใสรักใคร่พระมหากัสสปเถระเจ้า องค์สังฆวุฒาจารย์ผู้เป็น
ประธานในสังคายนาครั้งนั้นเป็นยิ่งนัก ประดุจบุตรเคารพรักในบิดา ทั้งนี้จะพึงเห็นได้ในตอนที่พระมหากัสสปเถรเจ้าปรินิพพาน พอได้ ทรงทราบข่าวปรินิพพานเท่านั้น พระองค์ก็ถึงแก่วิสัญญีภาพสลบแล้วสลบอีก จนหมอหลวงต้องแก้ไขกันหลายครั้ง
หลายหน ด้วยความเศร้าเสียใจอาลัยรักใคร่ในพระมหาเถระเจ้าที่พระองค์ทรงเคารพอย่างสุดซึ้ง

         ถึงจะทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสพระบวรพระศาสนาได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลมากมายเห็นปานนี้ฉะนี้ แต่เมื่อ ถึงคราวที่จะทรงถึงชีพิตักษัยปิตุฆาตกรรมก็แล่นเข้ามาเป็นอุปัจเฉทนกรรมปิดเสียซึ่งกุศลที่ทรงทำไว้ทั้งปวงแล้ว ก็กดขี่ฉุดคร่า สมเด็จพระมหากษัตริย์ให้ลงไปอุบัติในโลหกุมภีนรก ซึ่งเป็นยมโลกนรก ที่เป็นบริวารล้อมรอบชั้นนอกของอเวจีมหานรก จน
บัดนี้พระองค์ยังทรงทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลหกุมภีนรกนี้ คำพยากรณ์เป็นอนาคตว่า พอพระองค์เสวยทุกขเวทนาในโลหกุมภี นรกครบ ๖0,000 ปี แล้วก็จะพ้นจากนรกนั้นมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ในอวสานชาติที่สุด จักได้ตรัสเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรง พระนามว่า พระชีวิตวิเศษ ในพุทธันดรอันเป็นระหว่างศาสนาสมเด็จพระสมณโคดมบรมครูแห่งเราทั้งหลายกับศาสนาของ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตภายหน้า

         ผู้ที่มาเกิดในโลหกุมภีนรกนี้ บางทีนายนริยบาลก็เอาเชือกเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟไล่กระหวัดรัดคอ แล้วบิดจนกระทั่ง คอขาดออกจากตัว แล้วเอาศีรษะที่ขาดนั้นลงทอดในหม้อเหล็กแดงให้ได้ทุกขเวทนาทั้งกายทั้งศีรษะแต่ก็หาได้ตายไม่ สัตว์นรก หัวด้วนอยู่บัดเดี๋ยวใจก็เกิดหัวใหม่ขึ้นมาแทน นายนริยบาลก็เอาเชือกเหล็กลุกแดงเป็นเปลวไฟอันเก่านั่นแล กระหวัดรัดคอบิด ให้ขาด แล้วก็เอาลงทอดในหม้อนรกนั่นอีก ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้งคาบเป็นหมื่นๆ ปี ไม่หยุดยั้งตลอดวันตลอดคืน จนกว่าจะ สิ้นโทษพ้นเวรกรรมที่ตนทำมา

๒. สิมพลีนรก

         ต่อจากโลหกุมภีนรกไป ก็ถึงยมโลกนรกขุมที่ ๒ ซึ่งมีชื่อว่า สิมพลีนรก ในนรกขุมนี้ ปรากฏเป็นป่าเต็มไปด้วยต้นงิ้ว นรกทั้งหลาย ต้นงิ้วแต่ละต้นมีหนามเหล็กคมเป็นกรดยาว ๑๖ องคุลี ลุกเป็นไฟอยู่เสมอเป็นนิตย์ ไม่มีวันที่จะรู้ดับเลยสักครา ในนรกนี้เต็มไปด้วยสัตว์นรกหญิงและสัตว์นรกชาย บางครั้งสัตว์นรกหญิงขึ้นไปคอยอยู่ข้างบนต้นงิ้วก่อน สัตว์นรกชายอยู่ใต้
ต้นแหงนขึ้นไป เห็นหนามงิ้วอันน่าสะพรึงกลัวก็ไม่กล้าขึ้น นายนริยบาลทั้งหลายก็เงือดเงื้อหอกดาบแหลนหลาวพลางขู่ตะคอก
บังคับให้ขึ้น ด้วยอำนาจความกลัวเขาก็จำใจป่ายปีนต้นงิ้ว ต้องฝ่าหนามงิ้ว เลือดสาดทั่วกายา ครั้นขึ้นช้า นายนริยบาลก็เอา
หอกแทงเข้าที่ขา เอาด้ามหอกตีที่ศีรษะ ปากก็เร่งร้องบังคับขับใสให้ขึ้นไปหา สัตว์นรกหญิงไวๆ เขาก็ต้องก้มหน้าป่ายปีนขึ้น
ไปทีละน้อย หนามงิ้วอันแหลมคมยิ่งบาดตัวตนขาดทะลุมิหนำซ้ำยังร้อนระอุจน สุดจะทนทาน เพราะว่าหนามนั้นเป็นเปลวไฟ ครั้นสุดจะอดทนหนักเข้าก็บ่ายหัวทำท่าจะลงมา นายนริยบาลก็เอาหอกแทงซ้ำ กระหน่ำไม่เลือกที่แล้วร้องว่า

         " สูมึงจงเร่งขึ้นไปหายอดชู้ของเจ้าที่อยู่บนปลายงิ้วโพ้น จะกลับลงมาด้วยเหตุใดเล่า? "

         เขาอดทนความเจ็บปวดมิได้ จึงอ้าปากพูดเถียงวิงวอนนายนริยบาลว่า " ข้าพเจ้าเจ็บปวดหนักหนา ขึ้นไปมิได้ ขอลง ไปพักสักครู่มิได้หรือ? " วิงวอนดังนี้ นายนริยบาลจะได้ฟังเสียงก็หาไม่ กลับตีแทงกระหน่ำซ้ำลงไปอีกสัตว์นรกก็ต้องจำใจไต่ ปีนขึ้นไปบนปลายงิ้ว ทั้งๆ ที่ได้รับความเจ็บปวดหนักหนาปิ่มว่าจะขาดใจตาย ครั้นขึ้นไปถึงที่ปลายงิ้วเล่า ก็แลเห็นสัตว์นรก หญิงนั้นกลับลงมาสู่เบื้องล่างรวดเร็วหนักหนา

         นายนริยบาลทั้งหลาย ก็เงือดเงื้อศาสตราวุธบังคับสัตว์นรกหญิงนั้นปีนขึ้นไปหาสัตว์นรกชายซึ่งเป็นยอดชู้อยู่เบื้องบน ครั้นทำรีรอไม่กล้าขึ้น นายนริยบาลก็ทุบตีกระหน่ำแทงด้วยแหลนหลาวขับไสให้ขึ้นไป ทั้งๆ ที่เลือดสาดท่วมตัวได้รับความเจ็บ ปวดทุกขเวทนาหนักหนา ครั้นพอขึ้นไปถึงก็กลับเห็นสัตว์นรกชายลงมาอยู่เบื้องล่างอีกเล่า เขาทั้งสองได้แต่เวียนขึ้นลงหากัน ด้วยความลำบากอยู่อย่างนี้ จะได้อยู่ด้วยกันสักเพลานิดหนึ่งไม่มีเลย นับเป็นเวลานานจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

         สัตว์นรกบางตนบางพวก ขณะที่กำลังปีนป่ายขึ้นไปบนต้นงิ้วนั้น นอกจากจะถูกนายนริยบาลคอยทิ่มแทงด้วยหอกด้วย แหลนหลาวแล้ว ก็ยังมีแร้งกานรกซึ่งมีปากเป็นเหล็กคอยจิกทึ้งอวัยวะน้อยใหญ่กินเป็นภักษาหาร ให้ได้รับทุกขเวทนายิ่งขึ้น ครั้นลงมาข้างล่าง ก็ถูกสุนัขนรกตัวมหึมาฝูงใหญ่รุมกันแย่งกัน กัดกินสัตว์นรกนั้น เป็นการช่วยนายนริยบาลลงโทษอีกแรงหนึ่ง ต้องได้รับความทุกข์แสนสาหัสอยู่อย่างนี้ นับเดือนปีได้นานหนักหนา

         ที่ต้องการเกิดในสิมพลีนรกนี้ ก็เพราะว่าเมื่อเป็นมนุษย์ได้ประพฤติล่วงกาเมสุมิจฉาจาร คือ คบชู้สู่สาวผิดศีลธรรม ประเวณี เป็นชายประพฤติชู้กับภรรยาของผู้อื่น เป็นหญิงประพฤติเป็นชู้กับสามีของหญิงอื่น หรือตนมีสามีอยู่ แต่ยังมักมากใน กามคุณ ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาณตน ไม่เกรงต่อบาปกรรม ประพฤติอสัทธรรมด้วยการคบชู้ หรือชายมีภรรยาอยู่แต่ลุ่ม หลงตามใจตน ประพฤตินอกใจภรรยาไปสู่หาเป็นชู้กับหญิงอื่น เช่นนี้เป็นต้น ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ จึงต้องมาเกิดเป็นสัตว์ นรก เสวยทุกขเวทนาอยู่ในสิมพลีนรกนั้น จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

๓. อสินขะนรก

         ต่อจากสิมพลีนรกไป ก็ถึงยมโลกนรกที่ ๓ มีชื่อว่า อสินขะนรก สัตว์ที่เกิดในนรกขุมนี้ มีรูปร่างแปลกพิกล เล็บมือ เล็บเท้าของตนแหลมยาวเป็นอาวุธ เป็นหอก เป็นดาบ เป็นจอบ เป็นเสียมอันคมกล้า เสวยทุกขเวทนาประหนึ่งเช่น คนบ้าวิกล จริต บ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหาร เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ได้สดับมาว่า สัตว์นรกทั้ง หลายเหล่านี้ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์กระทำอทินนาทาน ชอบลักเล็กขโมยน้อย ลักขโมยของในที่สาธารณะ ของที่เขาถวายแด่พระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือลักขโมยของใช้ เช่น เสื้อผ้า อาหารที่เจ้าของหวงแหนเป็นหนักหนา ครั้นตายแล้ว จึงต้องมา เสวยทุกข์อยู่ในนรกขุมนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม

๔. ตามโพทะนรก

         ต่อจากอสินขะนรกไป ก็ถึงตามโพทะนรก ในนรกขุมนี้ มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงอยู่มากมาย น้ำทองแดงกำลังเดือด พลุ่ง พร้อมกับมีก้อนกรวดก้อนหินปะปนอยู่ด้วยทุกๆ หม้อ สัตว์ใดมาตกอยู่ในนรกขุมนี้ นายนริยบาลก็จับให้นอนหงายเหนือ แผ่นเหล็กอันรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ แล้วเอาน้ำทองแดงพร้อมทั้งก้อนกรวดก้อนหินกรอกเข้าไปในปาก น้ำตกไปถึงไหน เช่น ถึง
ปาก ถึงคอ ท้อง อวัยวะส่วนนั้นๆ ก็แตกเปื่อยพังทลาย แล้วกลับเกิดกลับเป็นขึ้นมาอีก นายนริยบาลก็เอาน้ำนรกนั่นกรอกเข้า ไปอีก เฝ้าเสวยทุกขเวทนาอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อน คือ ในชาติก่อนนั้นเขาเป็นคนใจอ่อนมัว
เมาประมาทดื่มกินสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าเป็นนิจศีล จึงต้องมาดื่มกินน้ำทองแดงนรกพร้อมกับก้อนกรวดก้อนหิน
ในนรก นี้จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

๕. อโยคุฬะนรก

         ต่อจากตามโพทะนรกไป ก็มาถึงอโยคุฬะนรก ในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด ไม่ว่ามอง
ไปทางไหน มีแต่ก้อนเหล็กแดงลุกเป็นไฟทั้งสิ้น สัตว์นรกทั้งหลายล้วนแต่มีความหิวโหย ครั้นเห็นก้อนเหล็กแดงก็ดีเนื้อดีใจ
เพราะอกุศลบันดาลให้สัตว์นรกนั้นตาฝ้าฟางตาลาย เห็นก้อนเหล็กเป็นโภชนาหาร จึงรีบวิ่งเข้าไปยื้อแย่งกันกิน พอเคี้ยวกลืน
เข้าไปแล้วก็กลับกลายเป็นก้อนเหล็กแดงอันเรืองฤทธิ์ไหม้ไส้พุงให้ขาดกระจัดกระจายเรี่ยรายออกมา ต้องได้รับทุกขเวทนา เอามือกุมท้องร้องไห้ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเหลือคณนา

         ได้ทราบว่า สัตว์นรกเหล่านั้น ชาติก่อนมีโลภะเจตนาหนาแน่น แสดงตนว่าเป็นคนใจบุญใจกุศล เที่ยวป่าวร้องเรี่ยไร เอาทรัพย์เขามาว่าจะทำการกุศลสาธารณะ ครั้นได้ทรัพย์มาแล้วก็ยักยอกใช้สอยตามสะดวกสบายของตน การกุศลก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้ บางทีก็ไม่ทำเลย หลอกลวงเขาด้วยเล่ห์ นึกว่าตนเป็นคนฉลาด จึงต้องพลาดท่ามาตกนรกขุมนี้ กินก้อน เหล็กแดงด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นโภชนาหารอยู่วันแล้ววันเล่าด้วยความหิวโหยสุดประมาณ จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

๖. ปิสสกปัพพตะนรก

         ต่อจากอยคุฬะนรกไป ก็ถึงปิสสกปัพพตะนรก ในนรกขุมนี้มีภูเขาใหญ่ตั้งอยู่ทั้ง ๔ ทิศ เป็นภูเขาเคลื่อนที่ไม่หยุดหย่อน กลิ้งบดสัตว์ทั้งหลายที่มาเกิดในที่นี่ ให้บี้แบนกระดูกแตกละเอียด ถึงแก่ความตายแล้ว ก็กลับเป็นขึ้นมาใหม่ ให้ต้องทนทุกข เวทนาอยู่อย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืนไม่ว่างเว้น

         ที่ต้องมาทนทุกขเวทนาเห็นปานนี้ ก็เพราะในชาติก่อนเป็นใหญ่เป็นนายบ้าน นายอำเภอ เป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง แต่
ประพฤติตนเป็นคนอันธพาลกดขี่ข่มเหงราษฎร เช่น ทุกตีเขาเอาทรัพย์มาให้เกินพระราชบัญญัติอัตรา ไม่มีความกรุณาแก่คน
ทั้งปวง ครั้นชีวิตปลิดปลงก็ลงมาเกิดในนรกขุมนี้ ถูกภูเขาเหล็กนรกบดขยี้ร่างกายให้แตกทำลาย ตายแล้วเป็น เป็นแล้วตายซ้ำ ซากอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

๗. ธุสะนรก

         ต่อจากปิสสกปัพพตะนรก ก็มาถึงธุสะนรก สัตว์ที่มาเกิดในขุมนรกนี้ ล้วนแต่มีความหิวกระหายน้ำทั้งสิ้น วิ่งวุ่นกระ เสือกกระสนไปทั่วนรก ครานั้นก็ปรากฏมีสระเต็มไปด้วยน้ำอันใสเย็นสะอาด สัตว์นรกทั้งหลายเห็นเข้าต่างก็ดีเนื้อดีใจ วิ่งไปถึง แล้วกระโดดลงเพื่อจะกินจะอาบ ด้วยอำนาจกรรมบันดาลพอน้ำตกถึงท้องก็กลายเป็นแกลบเป็นข้าวลีบ ลุกเป็นเปลวไฟทั้งๆ ที่ อยู่ในท้องไหม้ไส้ใหญ่น้อย ตับปอดเครื่องใน ก็ไหลออกมาทางทวารเบื้องล่าง ให้ได้รับความเจ็บปวด เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส ที่เป็นเช่นนี้ เพราะในชาติก่อนเป็นคนคดโกง ไม่ซื่อสัตย์ เช่น เป็นพ่อค้า เอาของชั่วปนของดี เอาของดีปนของปลอมหลอก ขายผู้อื่นด้วยโลภเจตนา จึงจำต้องมาตกนรกขุมนี้ เสวยทุกขเวทนาไปจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

๘. สีตโลสิตะนรก

         ต่อจากธุสะนรกก็มาถึงสีตโลสิตะนรก ในนรกขุมนี้ มีน้ำเย็นยะเยือกยิ่งกว่าความเย็นทั้งหลาย เมื่อสัตว์นรกตกลงไปก็ ตายเพราะความเย็น ด้วยอำนาจอกุศลกรรม ก็กลับเป็นขึ้นมาอีก แล้วจึงพากันคลานขึ้นมาข้างบน เพื่อจะให้พ้นจากความเย็น อันจับขั้วหัวใจ นายนริยบาลทั้งหลายก็จับสัตว์นรกเหล่านั้นโยนลงไปในน้ำเย็นอีก พอตกลงไปในน้ำเย็นก็พากันตาย ร่างกาย แตกพังทำลายไป แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาอีกเสวยกรรมอีกต่อไป

         ได้สดับมาว่า ในชาติก่อน สัตว์นรกเหล่านี้มีใจบาปหยาบช้า จับสัตว์ทั้งหลายโยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัด สัตว์ทิ้งน้ำ ให้จมน้ำตาย ทำเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้ได้รับความทุกข์เพราะน้ำ ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ จึงต้องมาเสวยผลกรรม ถูกทรมานในนรกขุมนี้

๙. สุนขะนรก

         ถัดจากนรกน้ำเย็น ก็เป็นนรกขุมที่ ๙ ซึ่งมีชื่อว่า สุนขะนรก ในนรกขุมนี้เต็มไปด้วยสุนัขนรกทั้งหลาย และหมานรก นั้นมีอยู่ ๕ จำพวก คือ ๑ หมาดำ ๒ หมาขาว ๓ หมาเหลือง ๔ หมาแดง ๕ หมาลาย หมาทั้ง ๕ จำพวกนี้มีรูปร่างใหญ่โต แลดูน่ากลัวนักหนา ส่งเสียงเห่าหอนดังฟ้าลั่นฟ้าร้อง สัตว์ที่ต้องมาตกในนรกขุมนี้ ย่อมถูกสุนัขนรกทั้งหลายไล่ขบกัดไม่มีเวลา หยุดยั้ง สุนัขเหล่านี้มีกิริยาดุร้ายดุจดังหมาไล่เนื้อของพรานฉะนั้น

         นอกจากหมานรกแล้ว ในนรกขุมนี้ ยังปรากฏมีฝูงแร้งและฝูงกาอยู่อีกเป็นอันมาก แร้งกาเหล่านี้มีลักษณะแปลกประ หลาด คือ ที่ปากและตีนเป็นเหล็กลุกแดงเป็นเปลวไฟ แลดูน่ากลัว มันเหล่านั้น ย่อมบินมาจิกตรงลูกตาและแหวกหัวอกของ สัตว์นรกทั้งหลายให้แตกทำลายกระจุยกระจายและเคี้ยวกินกรรมยังไม่สิ้นตราบใด ก็เกิดขึ้นใหม่ให้สัตว์เหี้ยมโหดในนรกทั้ง หลายทั้งแร้งทั้งกา และหมาหมู่ขบกัดเอาตามชอบใจไปจนกว่าจะสิ้นกรรม

         ที่ต้องลงมาเกิดในนรกขุมนี้ ก็เพราะว่าในชาติก่อนเขาเป็นคนปากกล้าสามานย์ โฉดเขลาเป็นพาลไม่ประมาณวาจา ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย พี่สาว พี่ชาย ด้วยคำเจ็บแสบหรือพอโกรธขึ้นมา ก็ด่าว่าไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ แม้ผู้มีศีล เช่น สมณะภิกษุสามเณรก็ไม่เลือก ด่าว่าตามใจชอบแห่งตน ด้วยผลแห่งวจีทุจริตอันหยาบช้า จึงบันดาลให้มาเกิดใน นรกขุมนี้ ต้องทนทุกขเวทนา ถูกแร้งกาและหมานรกกัดกินจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

๑0. ยันตปาสาณะนรก

         ยมโลกนรกขุมสุดท้ายชื่อว่า ยันตาปาสาณะนรก ในนรกขุมนี้ ปรากฏว่ามีภูเขา ๒ ลูก แต่เป็นภูเขาประหลาด คือ เป็นยนต์หมุนหันกระทบกันอยู่เสมอเป็นจังหวะไม่ขาดระยะ พอสัตว์มาเกิดในนรกขุมนี้แล้ว นายนริยบาลผู้มีกายกำยำล่ำสัน ใหญ่โตจับศีรษะสัตว์นรกนั้นใส่เข้าไปในระหว่างภูเขายนต์ทั้ง ๒ ครั้น ภูเขากระทบกัน ก็บีบกระทบศีรษะสัตว์นรกเหล่านั้นให้ แตกละเอียด เลือดไหลโทรม ดุจหีบอ้อยยนต์ที่หีบอ้อยสดให้น้ำอ้อยไหลออกมาฉะนั้น สัตว์นรกเมื่อได้ประสบการณ์ดังนี้ ก็ต้อง ได้รับทุกขเวทนาเหลือที่จะทนได้ ให้เจ็บปวดกระวนกระวาย ตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา ต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่อย่างนี้ จนกว่า จะสิ้นกรรมที่ทำไว้

         ได้ทราบมาว่า ชาติก่อนสัตว์นรกเหล่านี้เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้า ตีด่าคู่ครองของตนด้วยความโกรธประทุษร้าย แล้วประพฤตินอกใจไปคบหาสามีภรรยาคนอื่น จึงต้องมาทนทุกข์อยู่ที่นี่จนกว่าจะสิ้นกรรม จึงจะไปเกิดในภูมิอื่นได้

         ยมโลกนรกทั้ง ๑0 ขุมที่กล่าวมานี้ คือ
         ๑. โลหกุมภีนรก
         ๒. สิมพลีนรก
         ๓. อสินขะนรก
         ๔. ตามโพทะนรก
         ๕. อโยคุฬะนรก
         ๖. ปิสสกปัพพตะนรก
         ๗. ธุสะนรก
         ๘. สีตโลสิตะนรก
         ๙. สุนขะนรก
         ๑0. ยันตปาสาณะนรก

         ยมโลกนรกทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ตามลำดับถัดกันไป ต่อจากอุสสุทนรกทั้ง ๔ ในทิศบูรพาเบื้องหน้าของสัญญชีวมหานรก แม้ในทิศอื่นๆ อีก ๓ คือ ทิศหลัง ซ้าย ขวา ก็มียมโลกนรกนี้ปรากฏต่อจากอุสสุทนรกที่กล่าวแล้วทิศละ ๑0 ขุม ซึ่งมีชื่อและ ลักษณะอย่างเดียวกัน จึงปรากฏว่า ในสัญชีวมหานรกนี้มียมโลกนรกล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอก ๔0 ขุม นอกจากนี้ ยมโลก นรกนี้ยังปรากฏในมหานรกขุมอื่นอีก ๗ ขุม ขุมละ ๔0 จึงรวมกันทั้งหมด เป็นยมโลกนรก ๓๒0 ขุม

         สัตว์นรกทั้งหลายที่ทำกรรมชั่วไว้มาก พอเสวยกรรมในมหานรกแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องมาเสวยผลกรรมชั่วใน อุสสุทนรกอีก ถึงแม้อย่างนี้หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องมาเสวยผลกรรมในยมโลกทั้ง ๑0 ที่แวดล้อมมหานรกนี้อยู่ตามอำนาจของ บาปกรรมที่ตนทำไว้ ครั้นสิ้นกรรมในนรกเหล่านี้แล้วเศษบาปยังให้ผลต้องไปเกิดในอบายภูมิอื่น คือ ต้องไปเกิดเป็นเปรตเป็น อสุรกายเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ให้เสวยทุกขเวทนาในสถานที่นั้นๆ แล้ว จึงจะได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ตามเดิม

โลกันตนรก

         ยังมีนรกพิเศษอีกขุมหนึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ยิ่ง ซึ่งอยู่นอกจักรวาล สถานที่ตั้งของนรกขุมนี้ อยู่ในระหว่างโลกจักรวาล
๓ โลก! ถ้าจะเปรียบก็เหมือนดอกปทุมชาติ ๓ ดอก เอามาตั้งชิดติดกันเข้า ก็จะมีช่องว่างขึ้นในตอนกลาง จักรวาลต่างๆ ก็ตั้ง ชิดกันเช่นดอกปทุมชาตินั้น สถานที่ตรงช่องว่างนั่นแหละเป็น โลกันตนรก ซึ่งแปลว่านรกที่ตั้งอยู่สุดโลกจักรวาล

         ในโลกันตนรกนั้น มีสภาพมืดมนยิ่งนัก แสงดาวเดือน และแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นโลกมืดมนอนธการ สามารถห้าม เสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักขุวิญญาณ เปรียบปานเช่นคนหลับตาในคราวเดือนดับฉะนั้น เพราะอยู่นอกจักรวาล พ้นจากโลก สวรรค์-โลกมนุษย์-โลกนรกออกไป

         สัตว์ที่ไปเกิดในโลกันตนรกนี้ มีร่างกายใหญ่โต ทั้งมีเล็บมือเล็บเท้ายาวยิ่งนัก ต้องใช้เล็บมือเท้าเกาะอยู่ตามชายเชิง จักรวาล ห้อยโหนโยนตัวอยู่ชั่วนิรันดร์ เปรียบเช่นค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ ครั้นได้รับความทุกข์อันแสนสาหัสเช่นนี้ เขาจึง ได้แต่รำพึงในใจว่า

         " ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่ๆ ชะรอยจะมีแต่ตูผู้เดียวดอกหรือ? "

         การที่เขารำพึงเช่นนี้ก็เพราะมันมืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกด้วยกัน หรือไม่เห็นอะไรเลยนั่นเอง ตลอดเวลา ไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะไปด้วยความหิวโหย ครั้นป่ายตะกายไปถูกมือกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าพบ อาหาร มีกิริยาขวนขวายคว้าฉวยจับกุมกัน ต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกิน เมื่อต่างก็ปล้ำฟัดกันอยู่อย่างนี้ ไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือ ที่เกาะอยู่ เลยพลัดตกลงไปข้างล่าง

         บริเวณสถานที่ที่เบื้องล่างที่เขาพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่พื้นธรรมดา โดยที่แท้เต็มไปด้วยน้ำกรดอันเย็นยะเยียบอย่าง ร้ายกาจยิ่งนัก ครั้นเขากอดคอพากันตกลงมา พอถึงพื้นน้ำบัดเดี๋ยวใจ ตัวตนร่างกายเขาก็เปื่อยแหลกลงสิ้นเพราะฤทธิ์น้ำกรด เย็นนั้นกัดเอา ให้เหลวแหลกละลายเช่นก้อนอุจจาระที่ตกลงไปในน้ำฉะนั้น เขาก็ถึงความสิ้นใจตายในบัดใจ แล้วก็กลับเป็นตัว ตนขึ้นมาเหมือนเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยาก เข็ญ แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม ครั้นพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าแต่จะตะครุบกันกินด้วย สำคัญผิดคิดว่าเป็นอาหาร แล้วก็พากันกอดคอตกลงไปในน้ำกรดเย็นถึงแก่ความตาย แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาตามเดิม แต่เวียน ตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันสิ้นสุดชั่วพุทธันดรหนึ่ง จึงจะพ้นโทษจากนรกขุมนี้

         มีเรื่องควรทราบ ที่จะขอกล่าวแทรกไว้ในที่นี้ ก็คือว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดประทานพระพุทธฎีกา ไว้ว่า รุปฺปติ โข ภิกขเว เป็นต้น ซึ่งแปลเป็นใจความว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่ชื่อว่า รูป เพราะอรรถว่า เป็นสิ่งที่จะต้อง
สลายฉิบหายไป เพราะความหนาวบ้างความร้อนบ้าง ดังนี้ จึงมีปัญหาว่า ที่ว่ารูปต้องสลายฉิบหายไปด้วยความหนาวนั้น อย่างไรกัน?

         ก็รูปของสัตว์ที่เกิดในโลกันตนรกนี่เอง ที่ต้องแตกสลาย ฉิบหายไปเพราะความหนาว ก็จะไม่หนาวได้อย่างไรเล่า เพราะโลกันตนรกนี้ เป็นนรกน้ำกรดเย็นโดยแท้ มีภาวะเย็นยะเยือกยิ่งนักเมื่อสัตว์นรกโลกันต์ทั้งหลายซึ่งใช้เล็บมือเล้บเท้าอัน ยาวเกี่ยวเกาะเชิงเขาจักรวาลห้อยอยู่ ประดุจค้างคาวมีศีรษะห้อยลงในเบื้องต่ำ แล้วก็ปล้ำฟัดกันด้วยสำคัญว่าอาหาร พลัดตก ลงมาในน้ำกรดเย็นเบื้องล่าง พอรูปกายถูกน้ำกรดอย่างนี้แล้วจะไปเหลืออะไร ก็มีแต่จะเปื่อยพังสลายไปด้วยความหนาว เพราะน้ำกรดอันเย็นเหลือประมาณนั่นเอง

         ได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่า จึงต้องมาตกอยู่ในโลกันตนรกนี้? ได้เคยทำกรรมร้ายกาจหยาาบช้าลามกนัก คือ ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา เพราะความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีด่าว่าอยู่เป็นนิตย์หรือมีจิตหยาบช้า ทำการวางเพลิงเผาวัด วาอารามทำให้สมณะผู้ทรงศีลถึงแก่มรณกรรม อีกประการหนึ่ง ทำกรรมชั่วหนัก เช่น ประทุษร้ายผู้ทรงศีล หรือกระทำปาณา ติบาตเป็นอาจิณทุกๆ วัน อำนาจอกุศลกรรมจึงบันดาลให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีปกติมืดอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อมีพระพุทธ เจ้ามาตรัสในโลก จึงจะมีโอกาสปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะเวลาว่าลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น นี่แหละโลกันตนรก!

สรุปนริยภูมิ

         บรรดานรกทั้งหลายที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นสถานที่ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิงมีแต่ความทุกข์ทรมานอย่างเดียว เท่านั้น เพื่อให้จำกันง่ายๆ ก็จะนำนรกทั้งหลายมากล่าวซ้ำไว้อีกครั้งหนึ่งว่า นรกมีอยู่ทั้งหมด ๔๕๗ ขุม คือ

         ๑. มหานรก                 ๘ ขุม
         ๒. อุสสุทนรก            ๑๒๘ ขุม
         ๓. ยมโลกนรก            ๓๒0 ขุม
         ๔. โลกันตนรก               ขุม
         รวมกันเป็น              ๔๕๗ ขุม

         สัตว์ที่เกิดในนรกเหล่านี้ ต้องเสวยทุกข์โทษอยู่สิ้นกาลช้านาน แต่จะนานเท่าใดไม่แน่นอน เพราะมันขึ้นอยู่กับบาปกรรม ที่ได้กระทำไว้ ทั้งนี้ ย่อมเป็นไปตามนัยว่า

         อปาเยสุ หิ กมมเมว ปมาณํ
        ในอบายภูมิทั้งหลาย อกุศลที่ทำไว้นั่นเอง
        เป็นเครื่องประมาณอายุของสัตว์

         หมายความว่า ถ้าทำบาปกรรมไว้มาก ก็ต้องตกนรกอยู่นาน และต้องตกนรกหลายขุม เช่นพอเสวยกรรมในมหานรก
แล้ว หากบาปกรรมยังไม่หมดก็ต้องไปเสวยกรรมในอุสสุทนรก ยมโลกนรกเสวยทุกข์เรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นกรรม บางทีตกนรก ขุมที่เป็นบริวารก่อนแล้วจึงมาตกมหานรกก็มี สุดแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลก่อน บางทีก็ทำบาปกรรมไว้มาก ต้องตกนรกดะเรื่อย ไปผ่านมหานรกทั้ง ๘ ขุมก็มี บางทีบางสัตว์ก็ตกนรกเพียง ๑ ขุม ๒ ขุม แล้วก็สิ้นกรรม เหมือนเช่นพระเทวทัตท่านตกแต่มหา นรกอเวจีเพียงขุมเดียวเท่านั้น ก็จะพ้นโทษกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ในอวสานชาติสุดท้าย ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มีนามว่า พระอัฏฐิสระปัจเจกพุทธเจ้า ดังนี้เป็นต้น

         ถ้าทำบาปทำกรรมไว้น้อยเพียงมาตกนรกได้ไม่นาน กุศลกรรมที่ตนทำไว้บันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลนั้นขึ้นมา ก็เปลี่ยน สภาพจากสัตว์นรก ไปอุบัติเป็นภูมิอื่นต่อไป จึงสรุปความได้ว่าจะเสวยทุกข์โทษอยู่ในนรกนานช้าเพียงใด นั่นก็สุดแต่กุศลกรรม ที่ทำไว้เป็นประมาณ

         ก่อนจะหมดเรื่องนริยภูมินี้ ขอกล่าวย้ำอีกทีเพื่อเป็นเครื่องชี้ทางว่า การที่จะไปเกิดในโลกนรกได้ ก็เพราะทำบาป
กรรมความชั่วในไตรทวาร คือ บาปทางกาย ๑ บาปทางวาจา ๑ บาปทางใจ ๑ ถ้าใครทำบาปทั้ง ๓ ทางนี้ ต้องไปเสวยทุกข์
โทษไปเกิดในนรกแน่นอน เพราะมีพระพุทธวจนะตรัสไว้ว่า นิรยํ ปาปกมมิโน ( คนทำบาปไว้ต้องลงไปเกิดในนรก ) ในข้อนี้
พึงเห็นตัวอย่างดังต่อไปนี้

         ๑. บุคคลที่กระทำปาณาติบาต คือ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขาเป็นประจำ ครั้นสิ้นชีวิตตายไป ผลกรรมย่อมจะทำให้เกิดใน สัญชีวมหานรก
         ๒. บุคคลที่จะทำอทินนาทาน คือ ประพฤติเป็นโจร เป็นขโมย ลักเล็กขโมยน้อยเขาเป็นอาชีพ ย่อมถูกกรรมชักนำ ไปเกิดในกาฬสุตตมหานรก
         ๓. บุคคลที่กระทำกาเมสุมิจฉาจาร คือ ประกอบด้วยราคะดำกฤษณาประพฤติผิดประเวณีเป็นประจำ ย่อมนำตนไป เกิดในโรรุวมหานรก
         ๔. บุคคลที่ดื่มสุราเมรัยให้เกิดความมัวเมาประมาท ขาดสติสัมปชัญญะเป็นประจำ ย่อมเป็นปัจจัยนำตนไปเกิดใน โรรุวมหานรก

         เท่าที่กล่าวมานี้ เพียงแต่ชี้ให้เห็นบาปอย่างย่อๆ ว่าเป็นเครื่องนำไปเกิดในนรกได้อย่างไร ถ้าใครไม่สมัครใจจะเป็น สัตว์นรก ก็จงอย่าทำบาป อย่าทำความชั่วทั้งหมดอย่างเด็ดขาดถึงแม้เป็นบาปหรือกรรมชั่วเล็กน้อยก็จงอย่าประมาท อย่า กระทำเพราะขึ้นชื่อว่าบาปอกุศลกรรมแล้ว ย่อมนำไปเกิดในนริยภูมิโลกนรกได้ทั้งนั้น

         พรรณาในนริยภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติได้แล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้

จบ นิรยภูมิ