พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 298 หน้า 243-250 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
ธัมมานุปัสสนา
สัจจบรรพ
ทุกขนิโรธอริยสัจ
- [ ๒๙๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ
คือ ทุกขนิโรธ ( ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ คือ พระนิพพาน ) เป็นอย่างไร
คือ ความสำรอกและความดับโดยไม่มีเหลือ ความสละ ความส่งคืน ความปล่อยวาง ความไม่อาลัย
ในตัณหานั้นนั่นแล อันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานั้นนั่นแล เมื่อบุคคลจะละเสีย
ย่อมละเสียได้ในที่ไหน
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน ที่ใดเป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ในที่นั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับในที่นั้น ก็อะไรเล่า เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
- ตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ตานั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่ตานั้น
- หู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่หูนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่หูนั้น
- จมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่จมูกนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่จมูกนั้น
- ลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ลิ้นนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่ลิ้นนั้น
- กาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กายนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่กายนั้น
- ใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ใจนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่ใจนั้น
-
- รูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รูปนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่รูปนั้น
- เสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เสียงนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่เสียงนั้น
- กลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กลิ่นนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่กลิ่นนั้น
- รส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รสนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่รสนั้น
- โผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่โผฏฐัพพะนั้น
เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่โผฏฐัพพะนั้น
- ธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ธัมมารมณ์นั้น
เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ธัมมารมณ์นั้น
-
- ความรู้ทางตา ( จักขุวิญญาณ )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความรู้ทางตานั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางตานั้น
- ความรู้ทางหู ( โสตวิญญาณ ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความรู้ทางหูนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางหูนั้น
- ความรู้ทางจมูก ( ฆานวิญญาณ )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความรู้ทางจมูกนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางจมูกนั้น
- ความรู้ทางลิ้น ( ชิวหาวิญญาณ
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความรู้ทางลิ้นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางลิ้นนั้น
- ความรู้ทางกาย ( กายวิญญาณ ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความรู้ทางกายนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางกายนั้น
- ความรู้ทางใจ ( มโนวิญญาณ ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความรู้ทางใจนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางใจนั้น
-
- ความกระทบทางตา ( จักขุสัมผัส
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความกระทบทางตานั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางตานั้น
- ความกระทบทางหู ( โสตสัมผัส )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความกระทบทางหูนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางหูนั้น
- ความกระทบทางจมูก ( ฆานสัมผัส
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความกระทบทางจมูกนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางจมูกนั้น
- ความกระทบทางลิ้น ( ชิวหาสัมผัส
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความกระทบทางลิ้นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางลิ้นนั้น
- ความกระทบทางกาย ( กายสัมผัส )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความกระทบทางกายนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางกายนั้น
- ความกระทบทางใจ ( มโนสัมผัส )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความกระทบทางใจนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางใจนั้น
-
- เวทนาที่เกิดแต่จักษุสัมผัส เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่เวทนาที่เกิดแต่จักษุสัมผัสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนาที่เกิดแต่จักษุสัมผัสนั้น
- เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัสนั้น
- เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัสนั้น
- เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัสนั้น
- เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัสนั้น
- เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนั้น
-
- ความจำรูป ( รูปสัญญา ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความจำรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรูปนั้น
- ความจำเสียง ( สัททสัญญา ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความจำเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำเสียงนั้น
- ความจำกลิ่น ( คันธสัญญา ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความจำกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำกลิ่นนั้น
- ความจำรส ( รสสัญญา ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความจำรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรสนั้น
- ความจำโผฏฐัพพะ ( โผฏฐัพพสัญญา
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำโผฏฐัพพะนั้น
- ความจำธัมมารมณ์ ( ธัมมสัญญา )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความจำธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำธัมมารมณ์นั้น
-
- ความคิดถึงรูป ( รูปสัญเจตนา )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความคิดถึงรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงรูปนั้น
- ความคิดถึงเสียง ( สัททสัญเจตนา
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงเสียงนั้น
- ความคิดถึงกลิ่น ( คันธสัญเจตนา
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น
- ความคิดถึงรส ( รสสัญเจตนา ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความคิดถึงรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงรสนั้น
- ความคิดถึงโผฏฐัพพะ ( โผฏฐัพพสัญเจตนา
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น
- ความคิดถึงธัมมารมณ์ ( ธัมมสัญเจตนา
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น
-
- ความอยากในรูป ( รูปตัณหา ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความอยากในรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในรูปนั้น
- ความอยากในเสียง ( สัททตัณหา )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความอยากในเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในเสียงนั้น
- ความอยากในกลิ่น ( คันธตัณหา )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความอยากในกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในกลิ่นนั้น
- ความอยากในรส ( รสตัณหา ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความอยากในรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในรสนั้น
- ความอยากในโผฏฐัพพะ ( โผฏฐัพพตัณหา
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสีย ได้ที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น
- ความอยากในธัมมารมณ์ ( ธัมมตัณหา
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสีย ได้ที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น
-
- ความตรึกถึงรูป ( รูปวิตก ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความตรึกถึงรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงรูปนั้น
- ความตรึกถึงเสียง ( สัททวิตก )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความตรึกถึงเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงเสียงนั้น
- ความตรึกถึงกลิ่น ( คันธวิตก )
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น
- ความตรึกถึงรส ( รสวิตก ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความตรึกถึงรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงรสนั้น
- ความตรึกถึงโผฏฐัพพะ ( โผฏฐัพพวิตก
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น
- ความตรึกถึงธัมมารมณ์ ( ธัมมวิตก
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น
-
- ความตรองถึงรูป ( รูปวิจาร ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความตรองถึงรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงรูปนั้น
- ความตรองถึงเสียง ( สัททวิจาร
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความตรองถึงเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงเสียงนั้น
- ความตรองถึงกลิ่น ( คันธวิจาร
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น
- ความตรองถึงรส ( รสวิจาร ) เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสีย
ได้ที่ความตรองถึงรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงรสนั้น
- ความตรองถึงโผฏฐัพพะ ( โผฏฐัพพวิจาร
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น
- ความตรองถึงธัมมารมณ์ ( ธัมมวิจาร
) เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า
อริยสัจ คือ ทุกขนิโรธ ( ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ คือ พระนิพพาน )
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 357-359 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
สัจจบรรพ
ทุกขนิโรธอริยสัจ
- บททั้งปวงมีบทว่า อเสสวิราคนิโรธ
ความดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือเป็นต้น ทั้งหมดเป็นไวพจน์ของ
พระนิพพานนั่นเอง จริงอยู่ ตัณหา เมื่อบรรลุพระนิพพานย่อมคลาย ดับไม่เหลือ เพราะฉะนั้น
พระนิพพานนั้น
จึงตรัสเรียกว่า ความดับ ด้วยคลายไม่เหลือ แห่งตัณหานั้นนั่นแล อนึ่ง ตัณหา เมื่อบรรลุพระนิพพาน
ย่อมละ สละคืน
ปล่อย ไม่ติด เพราะฉะนั้น พระนิพพานจึงตรัสเรียกว่า เป็นธรรมที่ละ สละ ปล่อย
ไม่ติด แท้จริง พระนิพพานก็มีอย่าง
เดียวเท่านั้น แต่ชื่อของพระนิพพานนั้นมีมาก โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อชื่อของสังขตธรรม
ทั้งหมด คืออย่างไร คือธรรม
ที่คายไม่เหลือ ที่ดับไม่เหลือ ที่ละ ที่สละ ที่พ้น ที่ไม่ติด ที่สิ้นราคะ ที่สิ้นโทสะ
ที่สิ้นโมหะ ที่สิ้นตัณหา ที่ไม่เกิด
ที่หยุด ที่ไม่มีนิมิต ที่ไม่มีที่ตั้ง ที่ไม่มีที่อาศัย ที่ไม่มีปฏิสนธิ
ที่ไม่เป็นไป ที่ไม่ไป ที่ไม่เกิด ที่ไม่แก่ ที่ไม่เจ็บ
ที่ไม่ตาย ที่ไม่โศก ที่ไม่คร่ำครวญ ที่ไม่คับแค้น และธรรมที่ไม่เศร้าหมอง ดังนี้เป็นต้น
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงความไม่มีแห่งตัณหาทั้งปวง ที่มรรคตัดได้แล้ว
ถึงความหยุด ( ไม่เป็นไป ) เพราะบรรลุพระนิพพาน
ในวัตถุที่พระองค์ทรงแสดงว่า ตัณหาเกิดนั่นแหละ จึงตรัสว่า สา โข ปเนสา
ก็ตัณหานี้นั้นดังนี้ เป็นต้น
- พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น ดังต่อไปนี้ เหมือนอย่างว่า
บุรุษพบเถาน้ำเต้าขม ที่เกิดในนาแล้ว จับตั้งแต่ยอด ค้นหา
โคนพบแล้ว ตัดออกเสีย เถานั้นก็เหี่ยวแห้งโดยลำดับ ถึงความไม่ปรากฏ ที่นั้น เขาก็เรียกกันว่า
เถาน้ำเต้าขมในนานั้น
ดับแล้ว ละแล้ว ตัณหาในจักษุเป็นต้น เปรียบเหมือนเถาน้ำเต้าขมในนา ตัณหานั้น
ตัดรากได้ด้วยอรหัตมรรค ถึงความ
หยุด ( งอก ) เพราะบรรลุพระนิพพาน อนึ่ง ตัณหาอันถึงความหยุดอย่างนั้นแล้ว ย่อมไม่ปรากฏในวัตถุเหล่านั้น
เหมือนเถาน้ำเต้าขมไม่ปรากฏในนาฉะนั้น อนึ่งเปรียบเหมือนพวกมนุษย์นำโจรมาจากดง
พึงฆ่าเสียที่ประตูด้านทิศใต้
แห่งพระนคร แต่นั้น คนทั้งหลายจะพึงพูดกันว่าพวกโจรในดง ตายแล้ว หรือถูกฆ่าตายแล้ว
ดังนี้ ฉันใด ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ตัณหาในจักษุเป็นต้น เปรียบเหมือนโจรในดง ตัณหานั้นชื่อว่า ดับไปในพระนิพพานนั่นเอง
เพราะบรรลุ
พระนิพพานแล้วจึงดับไป เหมือนโจรที่ถูกฆ่าที่ประตูทิศใต้ฉะนั้น อนึ่ง ตัณหาอันดับแล้วอย่างนั้น
ย่อมไม่ปรากฏใน
วัตถุเหล่านั้น เหมือนโจรไม่ปรากฏในดงฉะนั้น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงแสดงความดับตัณหานั้น
ในจักษุเป็นต้นนั้น จึงตรัสว่า จักษุเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละก็ละได้ที่จักษุนั้น เมื่อจะดับ
ก็ดับที่จักษุนั้นดังนี้เป็นต้น