พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 293 หน้า 229-231 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
ธัมมานุปัสสนา
โพชฌงคบรรพ
- [ ๒๙๓ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือ โพชฌงค์ ( องค์แห่ง
ปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ ๗ อย่าง )
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ โพชฌงค์ ๗
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เมื่อสติสัมโพชฌงค์ ( องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือสติ ) มี
ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อสติสัมโพชฌงค์
ไม่มี ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่สติสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น
ย่อมเกิด
ขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสติสัมโพชฌงค์
ที่เกิดขึ้นแล้วย่อม
เป็นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
( องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ ความเลือกเฟ้นธรรม ) มี ณ ภาย
ในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ไม่มี ณ ภาย
ในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์อันยังไม่
เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่อวิริยสัมโพชฌงค์ (
องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ ความเพียร ) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า
วิริยสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อวิริยสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตย่อมรู้ชัดว่า
วิริยสัมโพชฌงค์
ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่วิริยสัมโพชฌงค์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัด
ประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัด
ประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่อปีติสัมโพชฌงค์ ( องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้
คือ ปีติ ความปลื้มใจ ) มี ณ ภายในจิต ย่อม
รู้ชัดว่าปีติสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อปีติสัมโพชฌงค์ ไม่มี
ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า
ปีติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่ปีติสัมโพชฌงค์ อันยังไม่เกิดขึ้น
ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของปีติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
( องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ ปัสสัทธิ ความสงบกายสงบใจ ) มี ณ
ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่าปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ไม่มี ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
อันยังไม่เกิดขึ้น
ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ (
องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ สมาธิ ) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า
สมาธิสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า
สมาธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่สมาธิสัมโพชฌงค์ อันยังไม่เกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นด้วย
ประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสมาธิสัมโพชฌงค์
ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็น
ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์
( องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ อุเบกขา จิตใจเป็นกลาง ไม่ยินดี
หรือยินร้าย ) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา
หรือเมื่ออุเบกขา
สัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา
อนึ่ง ความที่
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันยังไม่เกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์
ของอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ดังนี้
- ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง
ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้
แต่เพียง สักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
คือ โพชฌงค์ ๗ อย่างนี้แล
จบข้อกำหนดว่าด้วยโพชฌงค์
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 331-350 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
โพชฌงคบรรพ
- พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนา
โดยอายตนะภายใน อายตนะภายนอก อย่างละ ๖
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนก โดยโพชฌงค์ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่ง
ดังนี้เป็นต้น
- บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ในโพชฌงค์ทั้งหลาย
คือในองค์ ของสัตว์ผู้ตรัสรู้ บทว่า มีอยู่ คือมีพร้อมอยู่ โดย
การได้มา บทว่า สติสัมโพชฌงค์ ได้แก่
สัมโพชฌงค์ กล่าวคือ สติ พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า สัมโพชฌงค์
นี้ดังนี้ พระโยคาวจร ตรัสรู้ จำเดิมแต่เริ่มวิปัสสนา หรือพระโยคาวจรนั้น ตื่นลุกขึ้นจากกิเลสนิทรา
หรือแทง
ตลอดสัจจะทั้งหลาย ด้วยธรรมสามัคคี ๗ มีสติ เป็นต้น อันใด ธรรมสามัคคี อันนั้น
ชื่อว่าสัมโพธิ องค์ของ
ผู้ตื่นนั้น หรือธรรมสามัคคีเครื่องปลุกให้ตื่นนั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่า สัมโพชฌงค์
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
สัมโพชฌงค์กล่าวคือ สติ แม้ในสัมโพชฌงค์ที่เหลือ ก็พึงทราบความแห่งคำตามนัยนี้แล
บทว่า ไม่มีอยู่
คือ ไม่มีเพราะไม่ได้มา
- วินิจฉัย ในคำว่า ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺส
ที่ยังไม่เกิด เพราะเหตุใดเป็นต้น ดังต่อไปนี้ ก่อนอื่น สติสัมโพชฌงค์
ย่อมเกิดตามนัยอันมาในบาลี ( สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง
สัมโพชฌงค์ มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในสติสัมโพชฌงค์นั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่ง
สติสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางไพบูลย์ จำเริญบริบูรณ์ ยิ่งๆ ขึ้นไปแห่งสติสัมโพชฌงค์
ที่เกิดแล้ว
ในธรรมเหล่านั้น สตินั้นแหละชื่อว่าธรรม เป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์ โยนิโสมนสิการมีลักษณะดังที่กล่าว
มาแล้วนั่นแล เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ในอารมณ์นี้แล้ว สติสัมโพชฌงค์ก็เกิด
ธรรมเป็นเหตุเกิดสติสัมโพชฌงค์
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๔ ประการ เป็นทางเกิดสติสัมโพชฌงค์
คือ
- ๑. สติสัมปชัญญะ
- ๒. การเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม
- ๓. การคบหาบุคคลผู้มีสติมั่นคง
- ๔. ความน้อมจิตไปในสติสัมโพชฌงค์นั้น
- ก็สติสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิด ด้วยสติสัมปชัญญะในฐานทั้ง
๗ มีก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น ด้วยการงดเว้นบุคคล
ผู้มีสติหลงลืม เช่นเดียวกับกาตัวเก็บอาหาร ด้วยการคบหาบุคคลผู้มีสติมั่นคง เช่นเดียวกับพระติสสทัตตเถระ
และพระอภัยเถระเป็นต้น และด้วยความเป็นผู้มีจิตโน้มน้อมไปเพื่อตั้งสติในอิริยาบถทั้งหลายมี
ยืน นั่ง เป็นต้น
ภิกษุย่อมรู้ชัดว่าก็สติสัมโพชฌงค์นั้นอันเกิดแล้วด้วยเหตุ ๔ ประการอย่างนี้
ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค
เหตุเกิดธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
- ก็ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ย่อมเกิดตามนัยอันมาในบาลีอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นกุศลและ
อกุศล ฯลฯ ธรรมที่เปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำ และฝ่ายขาวมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางไพบูลย์เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่ง
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้
ธรรมเป็นเหตุเกิดธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๗ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ
- ๑. การสอบถาม
- ๒. การทำวัตถุให้สละสลวย
- ๓. การปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอกัน
- ๔. เว้นบุคคลมีปัญญาทราม
- ๕. คบหาบุคคลผู้มีปัญญา
- ๖. พิจารณาสอดส่องด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง
- ๗. ความน้อมจิตไปในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น
- บรรดาธรรม ๗ ประการนั้น ความเป็นผู้มากไปด้วยการสอบถาม
อันอาศัยอรรถแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ
อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ องค์มรรค องค์ฌาน สมถะและวิปัสสนา ชื่อว่าการสอบถาม
- การทำวัตถุภายใน และภายนอกให้สละสลวย ชื่อว่าการทำวัตถุให้สละสลวย
ก็เวลาใด ภิกษุมีผม เล็บ และ
ขนยาวเกินไป หรือร่างกาย สกปรกเปรอะเปื้อนด้วยเหงื่อและไคล เวลานั้น วัตถุภายใน
( คือร่างกาย )
ไม่สละสลวย ไม่สะอาด แต่ในเวลาใด จีวรเก่าคร่ำคร่า สกปรก เหม็นสาบ หรือเสนาสนะรกรุงรัง
ในเวลานั้น วัตถุ
ภายนอกไม่สละสลวยไม่สะอาด เพราะฉะนั้น จึงควรทำวัตถุภายในให้สละสลวย ด้วยกิจมีการปลงผมเป็นต้น
ด้วยการทำร่างกายให้เบาสบาย ด้วยกิจมีการถ่ายชำระมลทิน ให้ทั่วทั้งเบื้องบนเบื้องล่างเป็นต้น
และด้วยการ
ขัดสี อาบน้ำบรรเทากลิ่นเหม็น พึงทำวัตถุ ภายนอกให้สละสลวย ด้วยกิจมีการเย็บ
ย้อม ซักจีวร และทำการรมบาตร
เป็นต้น เพราะเมื่อวัตถุภายใน และภายนอกนั้นไม่สละสลวย เมื่อจิตและเจตสิกเกิดขึ้น
แม้ปัญญาก็ไม่ผ่องแผ้ว
เหมือนแสงสว่างของดวงประทีปที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยตัวตะเกียงไส้และน้ำมันที่ไม่สะอาดหมดจดฉะนั้น
แต่เมื่อวัตถุภายใน และภายนอกสละสลวย เมื่อจิตและเจตสิกเกิดขึ้น แม้ปัญญาก็ผ่องแผ้ว
เหมือนแสงสว่าง
ของดวงประทีปที่เกิดขึ้น เพราะอาศัวตัวตะเกียง ไส้ และน้ำมัน ที่สะอาดหมดจดฉะนั้น
เพราะเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า การทำวัตถุให้สละสลวย ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ดังนี้
- การทำปรับปรุงอินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้น ให้สม่ำเสมอกัน
ชื่อว่า การทำปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ ด้วยว่า
ถ้าอินทรีย์ คือศรัทธาของเธอมีกำลังกล้า อินทรีย์นอกนี้อ่อน แต่นั้นอินทรีย์คือวิริยะ
ก็ไม่อาจทำกิจ คือการประคอง
จิตได้ อินทรีย์ คือสติก็ไม่อาจทำกิจ คือการปรากฏ อินทรีย์คือสมาธิ ก็ไม่อาจทำกิจ
คือความไม่ฟุ้งซ่าน อินทรีย์
คือปัญญาก็ไม่อาจทำกิจ คือการเห็นได้ เพราะฉะนั้น เมื่อมนสิการถึงอินทรีย์ คือศรัทธานั้น
ด้วยการพิจารณา
สภาวธรรม หรือโดยประการใด อินทรีย์คือศรัทธามีกำลังกล้า พึงลดลงด้วยการไม่มนสิการโดยประการใดนั้น
ในข้อนี้ มีเรื่องท่านพระวักกลิเถระ เป็นอุทาหรณ์ ถ้าอินทรีย์คือวิริยะมีกำลังกล้า
เมื่อเป็นเช่นนั้น อินทรีย์คือ
ศรัทธา ก็ไม่อาจทำกิจ คือการน้อมใจเชื่อได้ อินทรีย์นอกนี้ ก็ไม่อาจทำกิจคือหน้าที่ต่างๆ
ของตนได้ เพราะฉะนั้น
จึงควรลดอินทรีย์คือวิริยะนั้นลง ด้วยการเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นต้น แม้ในข้อนั้น
พึงแสดงเรื่องท่านพระ
โสณะเถระเป็นอุทาหรณ์ แม้ในอินทรีย์ที่เหลือก็เหมือนกัน เมื่ออินทรีย์อย่างหนึ่งมีกำลังกล้า
ก็พึงทราบว่า อินทรีย์
นอกนี้ก็ไม่สามารถในกิจ คือหน้าที่ของตนได้ แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องอินทรีย์นี้
ท่านสรรเสริญ ศรัทธา
กับปัญญา และสมาธิกับวิริยะต้องเสมอกัน เพราะผู้มีศรัทธากล้า แต่มีปัญญาอ่อน
มีความเลื่อมใสแรง ย่อม
เลื่อมใสไปนอกเรื่อง มีปัญญากล้า แต่มีศรัทธาอ่อน ย่อมฝักใฝ่ไปข้างเกเร เหมือยโรคเกิดเพราะผิดยา
แก้ไขไม่ได้ฉะนั้น ผู้มีปัญญากล้า ก็โลดแล่นเขวไปว่า กุศลมีได้ด้วยเพียงจิตตุปบาทใจคิดขณะหนึ่งเท่านั้น
ดังนี้แล้ว ก็ไม่ทำบุญ มีทานเป็นต้น ย่อมเกิดในนรก ดังนั้นอินทรีย์คือศรัทธากับปัญญาทั้งสองเสมอกัน
จึง
เลื่อมใสในวัตถุ คือพระรัตนตรัยอย่างเดียว แต่สมาธิกล้า วิริยะอ่อน โกสัชชะ (
ความเกียจคร้าน ) ย่อม
ครอบงำได้ เพราะสมาธิเป็นฝ่ายโกสัชชะ วิริยะกล้า สมาธิอ่อน อุทธัจจะ ย่อมครอบงำได้
เพราะวิริยะเป็นฝ่าย
อุทธัจจะ ( ฟุ้งซ่าน ) แต่สมาธิอันวิริยะเข้าประกบไว้ ย่อมไม่ตกไปในโกสัชชะ วิริยะอันสมาธิเข้าประกบไว้ก็ไม่ตกไปใน
อุทธัจจะ เพราะฉะนั้น จึงควรทำอินทรีย์สองคู่นั้นให้เสมอเท่าๆ กัน ด้วยว่า อัปปนาจะมีได้
ก็เพราะอินทรีย์สองคู่
เสมอกันอีกอย่างหนึ่ง ศรัทธาแม้มีกำลังกล้าก็ควรแก่ผู้เจริญสมาธิ เพราะผู้เจริญสมาธิ
เชื่อมั่นหยั่งลงมั่นอย่างนี้ จัก
บรรลุอัปปนาได้ ส่วนในสมาธิกับปัญญา เอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งมีกำลังกล้า
ย่อมควรแก่ผู้เจริญสมาธิ
ด้วยว่าผู้เจริญสมาธินั้น ย่อมบรรลุอัปปนาได้ ด้วยเอกัคคตาอย่างนี้ ปัญญามีกำลังกล้า
ย่อมควรแก่ผู้เจริญวิปัสสนา
ด้วยว่าผู้เจริญวิปัสสนานั้นย่อมถึงความแทงตลอดไตรลักษณ์ด้วยปัญญาอย่างนี้ แต่อัปปนาจะมีได้
ก็เพราะศรัทธา
กับปัญญา ทั้งสองเสมอกันโดยแท้ ส่วนสติมีกำลังแล้ว ย่อมควรในที่ทั้งปวง เพราะว่า
สติย่อมรักษาจิตมิให้ตก
ไปในอุทธัจจะ ด้วยอำนาจศรัทธา วิริยะ ปัญญา ซึ่งเป็นฝ่ายอุทธัจจะ มิให้ตกไปในโกสัชชะ
เพราะสมาธิเป็นฝ่าย
โกสัชชะ เพราะฉะนั้น สตินั้น จึงจำต้อง ปรารถนาในที่ทั้งปวง เหมือนการปรุงรสด้วยเกลือ
จำปรารถนาใน
การปรุงอาหารทุกอย่าง และเหมือนอำมาตย์ผู้ชำนาญในราชกิจทุกอย่าง จำปรารถนาในกิจทุกอย่างฉะนั้น
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะเหตุไร
เพราะจิตมีสติ
เป็นที่อาศัยและสติมีการอารักขา เป็นที่ปรากฏ เว้นสติเสียแล้วจะประคอง และข่มจิตไม่ได้เลย
- การเว้นบุคคลผู้มีปัญญาทราม ไม่มีปัญญาหยั่งลงในประเภทแห่งธรรมมีขันธ์เป็นต้น
ให้ห่างไกล ชื่อว่า การ
งดเว้นบุคคลทรามปัญญา การคบหาบุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญารอบรู้ความเกิดและความเสื่อมแห่งสภาวธรรม
อันกำหนดด้วยลักษณะ ๕0 ถ้วน ชื่อว่า คบหาบุคคลผู้มีปัญญา การพิจารณาประเภทแห่งปัญญาอันลึกซึ้ง
ที่เป็นไปในสภาวธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้นอันลุ่มลึก ชื่อว่าการพิจารณาสอดส่องด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง
ความเป็นผู้มีจิตอันโน้มน้อมไปตั้งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ในอิริยาบถทั้งหลาย มี
ยืน นั่งเป็นต้น ชื่อว่าความน้อม
จิตไปในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดว่าก็ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่เกิดด้วยอาการอย่างนี้
ย่อมเจริญ
บริบูรณ์ด้วยอรหัตมรรค
วิริยสัมโพชฌงค์
- วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิด
ตามนัยอันมาแล้วในบาลี ( สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อารภธาตุ ( ธาตุคือความเริ่มความเพียร ) นิกกมธาตุ ปรักกมธาตุ ( ธาตุ
คือความเพียรก้าวไปข้างหน้า )
มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธาตุทั้ง ๓ นั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งวิริยสัมโพชฌงค์
ที่ยัง
ไม่เกิด หรือเป็นไปเพื่อความไพบูลย์เจริญบริบูรณ์เต็มที่ แห่งวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้วดังนี้
ธรรมเป็นเหตุเกิดวิริยสัมโพชฌงค์
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๑๑ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่งวิริยสัมโพชฌงค์
คือ
- ๑. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย
- ๒. การเห็นอานิสงส์
- ๓. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน
- ๔. ความเคารพยำเกรงในบิณฑบาต
- ๕. การพิจารณาความเป็นใหญ่แห่งการรับทรัพย์มรดก
- ๖. การพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่
- ๗. การพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่
- ๘. การพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่
- ๙. การงดเว้นบุคคลเกียจคร้าน
- ๑0. การคบบุคคลผู้ปรารภความเพียร
- ๑๑. ความน้อมจิตไปในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น
๑. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย
- บรรดาธรรม ๑๑ ประการนั้น เมื่อภิกษุผู้เจริญวิริยสัมโพชฌงค์
แม้พิจารณาเห็นภัยในอบายอย่างนี้ว่า
ใครๆ ไม่อาจยังวิริยสัมโพชฌงค์ให้เกิดได้ในเวลาที่เสวยทุกข์ใหญ่จำเดิมแต่ถูกลงโทษด้วยเครื่องจองจำ
๕
ประการในนรกก็ดี ในเวลาที่ถูกเขาจับด้วยเครื่องจับมี ข่าย แห และอวนเป็นต้น ในเวลาขับต้อนทิ่มแทง
ด้วยเครื่องประหารมีปะฏักเป็นต้น ให้ลากเกวียนบ้าง ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานก็ดี
ในเวลาทุรนทุรายด้วยความ
หิวกระหายตั้งหลายพันปีบ้างพุทธันดรหนึ่งบ้าง ในเปรตวิสัยก็ดี ในเวลาที่ต้องเสวยทุกข์อันเกิดแต่ลมและแดด
เป็นต้น ด้วยเรือนร่างที่สูงประมาณ ๖0 ศอก ๘0 ศอก เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ในจำพวกกาลกัญชิกอสูรก็ดี
ดูก่อนภิกษุ เวลานี้เท่านั้น เป็นเวลาทำความเพียรของเธอดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นได้
๒. การเห็นอานิสงส์
- เมื่อเห็นอานิสงส์อย่างนี้ว่า คนเกียจคร้านไม่อาจได้โลกุตตรธรรม
๙ คนที่ปรารภความเพียรเท่านั้นจึงสามารถ
นี้เป็นอานิสงส์ของความเพียร ดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ก็ย่อมเกิดได้
๓. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน
- เมื่อพิจารณาวิถีทางดำเนินอย่างนี้ว่า ควรดำเนินทางที่พระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า พระมหาสาวก
ทุกพระองค์ดำเนินไปแล้ว ทางนั้น คนเกียจคร้านไม่อาจเดินไปได้ดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์
ก็ย่อมเกิดได้
๔. การเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต
- เมื่อพิจารณาความเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาตอย่างนี้ว่า มนุษย์เหล่าใดบำรุงด้วยปัจจัยมีบิณฑบาตเป็นต้น
มนุษย์เหล่านั้นนี้ ก็ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ทาส และคนงานของเธอเลย ทั้งมนุษย์เหล่านั้นก็มิใช่ถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้น
อันประณีตแก่เธอ ด้วยคิดว่าจักอาศัยเธอเลี้ยงชีวิต โดยที่แท้ เขาหวังให้อุปการะที่ตนทำแล้วมีผลมาก
จึงถวาย
แม้พระศาสดาก็มิได้ทรงพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้บริโภคปัจจัยเหล่านี้แล้ว
จักมีร่างกายแข็งแรงมากอยู่เป็นสุข
ดังนี้ แล้วทรงอนุญาตปัจจัยแก่เธอ โดยที่แท้ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า ภิกษุบริโภคปัจจัยเหล่านี้
บำเพ็ญ
สมณธรรม จักพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้ดังนี้ จึงทรงอนุญาตปัจจัยไว้ เดี๋ยวนี้ เธอเกียจคร้านอยู่
ไม่เคารพยำเกรง
บิณฑบาตนั้น ขึ้นชื่อว่าการเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต ย่อมมีแก่ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น
ดังนี้ วิริยสัม
โพชฌงค์ ก็เกิดได้ เหมือนวิริยสัมโพชฌงค์ เกิดแก่ท่านพระมหามิตรเถระฉะนั้น
เรื่องพระมหามิตตเถระ
- เล่ากันว่า พระเถระอาศัยอยู่ในถ้ำ กสกะ และมหาอุบาสิกาผู้หนึ่ง
ในบ้านเป็นที่โคจรของท่าน บำรุงพระเถระ
เหมือนบุตร วันหนึ่ง นางจะไปป่า จึงสั่งลูกสาวว่า ลูก ข้าวสารเก่าอยู่โน้น น้ำนม
เนยใส น้ำอ้อย อยู่โน้น
เวลาที่พระเป็นเจ้ามิตตะ พี่ชายของเจ้ามาแล้ว จงปรุงอาหารถวายพร้อมด้วยน้ำนม
เนยใส และน้ำอ้อย
ด้วยนะลูก ลูดสาวถามว่า ก็แม่จะรับประทานไหมจ๊ะ มหาอุบาสิกาตอบว่า ก็เมื่อวานนี้
แม่รับประทานอาหาร
สำหรับค้างคืน ( ปาริวาสกภัต ) ที่ปรุงกับน้ำส้มแล้วนี่จ้ะ ลูกสาวถามว่า แม่จักรับประทานกลางวันไหมจ๊ะ
มหาอุบาสิกาสั่งว่า เจ้าจงใส่ผักดองแล้วเอาปลายข้าวสารต้มข้าวต้มมีรสเปรี้ยวเก็บไว้ให้เถอะลูก
พระเถระ
ครองจีวรแล้ว กำลังนำบาตรออก ( จากถลก ) ได้ยินเสียงนั้นแล้ว ก็สอนตนเองว่า ได้ยินว่า
มหาอุบาสิกา
รับประทานแต่อาหารสำหรับค้างคืนกับน้ำส้ม แม้กลางวันก็จักรับประทานข้าวต้มเปรี้ยวใส่ผักดอง
นางบอก
อาหารมีข้าวสารเก่าเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่เธอ ก็มหาอุบาสิกานั้นมิได้หวังที่นาที่สวน
อาหาร และผ้า เพราะ
อาศัยเธอเลย แต่ปรารถนาสมบัติ ๓ ประการ ( มนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ
) จึงถวาย
เธอจักสามารถให้สมบัติเหล่านั้นแก่มหาอุบาสิกานั้นได้หรือไม่เล่า ดังนี้ ท่านคิดว่า
บิณฑบาตนี้แล เธอยังมีราคะ
โทสะ โมหะอยู่ไม่อาจรับได้ดังนี้แล้ว ก็เก็บบาตรเข้าถลก ปลดดุมจีวร กลับไปถ้ำกสกะเลยเก็บบาตรไว้ใต้เตียง
พาดจีวรไว้ที่ราวจีวร นั่งลงอธิษฐานความเพียรว่า เราไม่บรรุลพระอรหัต จักไม่ออกไปจากถ้ำดังนี้
ภิกษุผู้ไม่
ประมาทอยู่มาช้านานเจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตก่อนเวลาอาหารเช้า เป็นพระมหาขีณาสพ
( สิ้นอาสวะแล้ว )
นั่งแย้มโอษฐ์อยู่ เหมือนดอกปทุมที่กำลังแย้มฉะนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้ใกล้ประตูถ้ำเปล่งอุทานว่า
- นโม เต ปุริสาชญฺญ นโม เต ปุริสสุตฺตม
- ยสฺส เต อาสวา ขีณา ทกฺขิเณยฺโยสิ
มาริส
- ท่านบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน ท่านยอดบุรุษ
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่านผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้ควรทักษิณาทาน
ดังนี้
- แล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกหญิงแก่ถวายอาหารแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย
เช่นท่านผู้เข้าไปบิณฑบาต
จักพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้
- พระเถระลุกขึ้นเปิดประตูดูเวลา ทราบว่า ยังเช้าอยู่ จึงถือบาตรและจีวรเข้าสู่หมู่บ้าน
ฝ่ายเด็กหญิง จัดเตรียม
อาหารเสร็จแล้ว นั่งคอยดูอยู่ตรงประตู ด้วยนึกว่า ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา
ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา
เมื่อพระเถระมาถึงประตูเรือนแล้ว เด็กหญิงนั้น ก็รับบาตร บรรจุเต็มด้วยอาหารเจือน้ำนม
ที่ปรุงด้วยเนยใส
และน้ำอ้อยแล้ว วางไว้บนมือ ( ของพระเถระ ) พระเถระทำอนุโมทนาว่า จงมีสุขเถิด
แล้วก็หลีกไป เด็กหญิง
นั้นยืนจ้องดูท่านอยู่แล้ว ความจริง ในคราวนั้น ผิวพรรณของพระเถระบริสุทธิ์ยิ่งนัก
อินทรีย์ผ่องใส หน้าของท่าน
เปล่งปลั่งยิ่งนัก ประดุจผผลตาลสุกหลุดออกจากขั้วฉะนั้น มหาอุบาสิกากลับมาจากป่าถามว่า
พี่ชายเจ้ามาแล้ว
หรือลูก เด็กหญิงนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง มหาอุบาสิกาก็รู้ได้ว่า
วันนี้ บรรพชิตกิจแห่งบุตรของเรา
ถึงที่สุดแล้ว จึงกล่าวว่า ลูก พี่ชายของเจ้ายินดียิ่งนักในพระพุทธศาสนา ไม่กระสัน
( อยากสึก ) แล้วละดังนี้
๕. การพิจารณาความมีทรัพย์มรดกเป็นใหญ่
- เมื่อพิจารณาความมีทรัพย์มรดกเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า ก็ทรัพย์มรดกของพระศาสดามีมากแล
คือ อริยทรัพย์
๗ ประการ ทรัพย์มรดกนั้นผู้เกียจคร้านไม่อาจรับได้ เหมือนอย่างว่ามารดา บิดา
ย่อมตัดบุตรประพฤติผิด
ทำให้เป็นคนภายนอกว่า คนนี้ไม่ใช่ลูกของเรา เมื่อมารดา บิดา ล่วงลับไป เขาก็ไม่ได้รับทรัพย์มรดกฉันใด
แม้บุคคลผู้เกียจคร้านก็ฉันนั้น ย่อมไม่ได้มรดก คือ อริยทรัพย์นี้ ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น
ย่อมได้รับดังนี้
วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้
๖. การพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่
- เมื่อพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า พระศาสดาของเธอเป็นใหญ่
เพราะในเวลาที่พระศาสดา
ของเธอทรงถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระมารดาก็ดี เวลาเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ก็ดี
เวลาตรัสรู้พระอนุตตร
สัมมาสัมโพธิญาณก็ดี เวลาประกาศพระธรรมจักร แสดงยมกปฏิหาริย์ เสด็จลงจากเทวโลก
และทรงปลงอายุสังขาร
ก็ดี เวลาเสด็จดับขันธปรินิพพานก็ดี หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหวแล้ว เธอบวชในพระศาสนาของศาสดาเห็นปาน
ฉะนี้แล้ว เป็นคนเกียจคร้าน ควรแล้วหรือดังนี้ วิริยสัมโพขฌงค์ย่อมเกิดได้
๗. การพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่
- เมื่อพิจารณาความมีชาติใหญ่อย่างนี้ว่า แม้โดยชาติ บัดนี้
เธอไม่ใช่คนมีชาติต่ำแล้วละ เธอชื่อว่าเกิดแล้วใน
วงศ์ของพระเจ้าอุกกากราช ที่สืบทอดกันมาโดยมหาสมมติประเพณี ไม่เจือปนกับชนชาติอื่น
เป็นพระนัดดา
ของพระเข้าสุทโธทนมหาราช และพระนางเจ้ามหามายาเทวี เป็นพระอนุชาของท่านพระราหุลพุทธชิโนรส
ขึ้นชื่อว่าเธอ เป็นพุทธชินบุตรเห็นปานฉะนี้แล้ว อยู่อย่างคนเกียจคร้าน ไม่สมควรดังนี้
วิริยสัมโพชฌงค์
ย่อมเกิดได้
๘. การพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่
- เมื่อพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า ท่านพระสารีบุตร
ท่านพระโมคคัลลานะ และ พระ
สาวกผู้ใหญ่ ๘0 รูป แทงตลอด ( ตรัสรู้ ) โลกุตตรธรรม ด้วยความเพียรกันทั้งนั้น
เธอจะดำเนินตามทางของ
สพรหมจารีเหล่านั้น หรือไม่ดำเนินตามเล่าดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้
- ๙. การงดเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน
- ๑0. การคบบุคคลผู้ปรารภความเพียร
- ๑๑. ความน้อมจิตไปในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น
- เมื่อเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน ผู้สละความเพียรทางกาย และทางใจซึ่งเป็นเหมือนงูเหลือมกินเต็มท้อง
แล้วก็
หยุดอยู่กับที่ก็ดี คบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร ผู้อุทิศตนมุ่งปฏิบัติธรรมก็ดี
มีจิตโน้มน้อมโอนไป เพื่อให้
ความเพียรเกิดขึ้น ในอิริยาบถทั้งหลาย มี ยืน นั่ง เป็นต้นก็ดี วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้
ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า
วิริยสัมโพชฌงค์นั้นที่เกิดแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค
ปีติสัมโพชฌงค์
- ปีติสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดโดยนัยอันมาแล้วในบาลี
( สังยุตตนิกาย มหาวารมรรค ) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ
ในธรรมอันเป็นที่ตั้ง
แห่งปีติสัมโพชฌงค์ นี้เป็นอาหาร เพื่อความเกิดแห่งปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
หรือเป็นเพื่อทางไพบูลย์
เจริญบริบูรณ์ เต็มที่แห่งปีติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดแล้วดังนี้ ปีตินั้นเองชื่อว่า
ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์
ในบาลีนั้น มนสิการอันยังปีตินั้นให้เกิด ชื่อว่าโยนิโสมนสิการ
ธรรมเป็นเหตุเกิดปีติสัมโพชฌงค์
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๑๑ ประการ ย่อมเป็นทางเกิด ปีติสัมโพชฌงค์คือ
- ๑. พุทธานุสสติ
- ๒. ธัมมานุสสติ
- ๓. สังฆานุสสติ
- ๔. สีลานุสสติ
- ๕. จาคานุสสติ
- ๖. เทวตานุสสติ
- ๗. อุปสมานุสสติ
- ๘. เว้นบุคคลผู้เศร้าหมอง
- ๙. คบหาบุคคลผู้หมดจด
- ๑0. การพิจารณาความในพระสูตร เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส
- ๑๑. ความน้อมจิตไปในปีติสัมโพชฌงค์นั้น
- จริงอยู่ ผู้เจริญปีติสัมโพชฌงค์ เมื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ
ปีติสัมโพชฌงค์แผ่ซ่านทั่วสรีระจนกระทั่งอุปจาร
สมาธิ ย่อมเกิดขึ้น เมื่อระลึกถึงคุณพระธรรม และพระสงฆ์ก็ดี พิจารณาปาริสุทธิศีล
๔ ที่ตนรักษาไม่ขาดวิ่น
เป็นเวลานานก็ดี แม้คฤหัสถ์พิจารณาศีล ๑0 ศีล ๕ ก็ดี พิจารณาจาคะ การบริจาคว่า
ในเวลาประสบทุพภิกขภัย
เป็นต้น เราถวายโภชนะอันประณีตแก่สพรหมจารีทั้งหลาย แล้วถวายโภชนะชื่ออย่างนี้
ดังนี้ก็ดี แม้คฤหัสถ์
พิจารณาถึงทานที่ถวายแก่ท่านผู้มีศีลในเวลาเห็นปานนั้นก็ดี พิจารณาถึงคุณเช่นกับที่เทวดาประกอบแล้วถึง
ความเป็นเทวดาว่า มีอยู่ในตนก็ดี พิจารณาเห็นว่ากิเลสที่ข่มได้แล้วแม้ด้วยสมาบัติตลอด
๖0 ปีบ้าง ๗0 ปีบ้าง
ไม่ฟุ้งกำเริบดังนี้ก็ดี เว้นบุคคลเศร้าหมองผู้มีความหม่นหมองอันสร้างสมไว้ เพราะไม่ทำโดยเคารพ
ในเวลา
เห็นพระเจดีย์ เห็นโพธิพฤษ์และเห็นพระเถระ ผู้เป็นเช่นกับละอองธุลี บนหลังลา
เพราะไม่มีความเลื่อมใสรักใคร่
ในพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี ส้องเสพบุคคลผู้หมดจด ผู้มากด้วยความเลื่อมใสมีจิตอ่อนโยนใน
พระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี พิจารณาความในพระสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส
ซึ่งแสดงคุณ
ของพระรัตนตรัยก็ดี มีจิตโน้มน้อมโอนไป เพื่อให้เกิดปีติ ในอิริยาบถทั้งหลายมี
ยืน นั่ง เป็นต้นก็ดี ปีติสัมโพชฌงค์
ย่อมเกิดได้ ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ปีติสัมโพชฌงค์นั้น ซึ่งเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้
ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตมรรค
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
- ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ย่อมเกิดโดยนัยที่มาแล้วในบาลี ( สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) อย่างนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย กายปัสสัทธิ ความสงบกาย จิตตปัสสัทธิ ความสงบจิตมีอยู่
การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ
ในความสงบกาย และความสงบจิตนั้น นี้เป็นอาหาร ( ย่อมเป็นไป ) เพื่อความเกิดแห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์เต็มที่ แห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ที่เกิดแล้วดังนี้
ธรรมที่เป็นเหตุเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๗ ประการ ย่อมเป็นทางเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
คือ
- ๑. เสพโภชนะอันประณีต
- ๒. เสพฤดูเป็นที่สบาย
- ๓. เสพอิริยาบถเป็นที่สบาย
- ๔. ประกอบความเป็นกลาง
- ๕. เว้นบุคคลผู้ไม่สงบกาย
- ๖. เสพบุคคลผู้สงบกาย
- ๗. น้อมจิตไปในปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น
- จริงอยู่ ผู้เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เมื่อบริโภคโภชนะเป็นที่สบายอันประณีตหมดจดก็ดี
เสพฤดูเป็นที่สบาย
ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาว ฤดูร้อนเสพอิริยาบถ เป็นที่สบายไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถ ยืน
เป็นต้นก็ดี ย่อมเกิดความสงบได้
แต่คำนั้น ท่านมิได้กล่าวหมายถึงบุคคลผู้เป็นมหาบุรุษ ซึ่งทนฤดูและอิริยบถ เป็นที่สบาย
เมื่อผู้ที่มีฤดู และ
อิริยาบถที่ถูกกันและไม่ถูกกัน เว้นฤดูและอิริยบถที่ไม่ถูกกันเสียแล้ว เสพฤดูและอิริยาบถที่ถูกกัน
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ย่อมเกิดได้ การพิจารณาถึงความที่ตนและคนอื่นมีกรรมเป็นของๆ ตน เรียกว่า ประกอบความเป็นกลาง
ปัสสัทธิ
สัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้ด้วยประกอบความเป็นกลางอันนี้ เมื่อเว้นบุคคลผู้มีกายไม่สงบ
เช่นเที่ยวเบียดเบียน
สัตว์อื่นด้วยเครื่องประหาร มีก้อนดิน และท่อนไม้เป็นต้น ก็ดี เสพบุคคลผู้มีกายสงบ
สำรวม มือ เท้า ก็ดี มีจิต
โน้มโอนไปเพื่อให้เกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ในอิริยาบถมี ยืน นั่ง เป็นต้น ก็ดี
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้
ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น อันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตมรรค
สมาธิสัมโพชฌงค์
- สมาธิสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดได้
โดยนัยแล้วในบาลี ( สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สมถนิมิต ( บาลีว่า สมาธินิมิต ) อัพยัคคนิมิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ
ในนิมิตทั้งสองนั้น
นี้เป็นอาหาร ( ย่อมเป็นไป ) เพื่อความเกิดแห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด
หรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์
เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้วดังนี้
- ในนิมิตเหล่านั้น สมถะนั่นแล ชื่อว่า สมถนิมิตและอัพยัคคนิมิตเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน
ธรรมเป็นเหตุเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๑๑ ประการ ย่อมเป็นทางเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์
คือ
- ๑. ทำวัตถุให้สละสลวย
- ๒. การปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ
- ๓. ฉลาดในนิมิต
- ๔. ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง
- ๕. ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม
- ๖. ทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง
- ๗. เพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย
- ๘. เว้นบุคคลผู้มีจิตไม่เป็นสมาธิ
- ๙. คบหาบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ
- ๑0. พิจารณาและวิโมกข์
- ๑๑. น้อมจิตไปในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น
อธิบายธรรม ๑๑ ประการ
- ในธรรม ๑๑ ประการนั้น เฉพาะการทำวัตถุให้สละสลวย และการปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ
พึงทราบตาม
นัยที่กล่าวมาแล้วนั่นแล
- ความฉลาดในการกำหนดกสิณนิมิต เป็นอารมณ์ ชื่อว่าฉลาดในนิมิต
การประคองจิตไว้ ด้วยการตั้ง
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์และปีติสัมโพชฌงค์ในสมัยที่จิตหดหู่ เพราะมีความเพียรย่อหย่อน
เกินไปเป็นต้น ชื่อว่า ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง
- การข่มจิตไว้ ด้วยการตั้งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์
และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในสมัยที่จิตฟุ้งซ่าน
เพราะปรารภความเพียรมากเกินไปเป็นต้น ชื่อว่า ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม
- คำว่า ทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรร่าเริง อธิบายว่า
สมัยใด จิตไม่แช่มชื่น เพราะมีปัญญาและความเพียร
อ่อนไป หรือเพราะไม่บรรลุสุขที่เกิดแต่ความสงบ สมัยนั้น ก็ทำจิตให้สลด ด้วยพิจารณาสังเวควัตถุเรื่องอัน
เป็นที่ตั้งแห่งความสลด ๘ ประการ คือ
- ๑. ชาติ
- ๒. ชรา
- ๓. พยาธิ
- ๔. มรณะ
- ๕. ทุกข์ในอบาย
- ๖. ทุกข์ในอดีตมีวัฏฏะเป็นมูล
- ๗. ทุกข์ในอนาคตมีวัฏฏะเป็นมูล
- ๘. ทุกข์ในปัจจุบันมีการแสวงหาอาหารเป็นมูล
- อนึ่ง การทำความเลื่อมใสให้เกิด ด้วยมาระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
อันนี้เรียกว่าการทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่
ควรให้ร่าเริง
- ชื่อว่า เพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย อธิบายว่า สมัยใดจิตอาศัยการปฏิบัติชอบ
ไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน แช่มชื่น
เป็นไปสม่ำเสมอในอารมณ์ ดำเนินในสมถวิถี สมัยนั้นไม่ต้องขวนขวายในการประคอง ข่มและทำจิตให้ร่าเริง
เหมือนสารถี ไม่ต้องขวนขวาย ในเมื่อม้าวิ่งเรียบฉะนั้น อันนี้เรียกว่า เพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย
- การเว้นบุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่บรรลุอุปจาระ หรืออัปปนา
ให้ห่างไกล ชื่อว่า เว้นบุคคลผู้มีจิต ไม่เป็นสมาธิ
- การเสพ คบหา เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิด้วยอุปจารภาวนา
หรืออัปปนาภาวนา ชื่อว่า คบหา
บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ
- ความเป็นผู้มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดสมาธิ ในอิริยบถทั้งหลายมี
ยืน นั่ง เป็นต้น ชื่อว่า น้อมจิตไปใน
สมาธิสัมโพชฌงค์
- ด้วยว่า เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้ สมาธิสัมโพชฌงค์นั้น
ย่อมเกิดได้ เมื่อภิกษุรู้ชัดว่า ก็สมาธิสัมโพชฌงค์นั้น
อันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค
อุเบกขาสัมโพชฌงค์
- อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดได้ตามนัยอันมาแล้วในบาลี
( สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) อย่างนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ
ในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น นี้เป็นอาหาร ( ย่อมเป็นไป ) เพื่อความเกิดแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์
ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความเจริญไพบูลย์ บริบูรณ์เต็มที่ แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้วดังนี้
ก็ในธรรมเหล่านั้น อุเบกขานั่นแล ชื่อว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์
ธรรมเป็นเหตุเกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์
คือ
- ๑. วางตนเป็นกลางในสัตว์
- ๒. วางตนเป็นกลางในสังขาร
- ๓. เว้นบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขาร
- ๔. คบหาบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร
- ๕. น้อมจิตไปในอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น
อธิบายธรรม ๕ ประการ
- ในธรรม ๕ ประการนั้น ผู้เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมตั้งการวางตนเป็นกลางในสัตว์ด้วยอาการ
๒ อย่าง
คือด้วยการพิจารณาถึงความที่ตนและผู้อื่นมีกรรมเป็นของๆ ตนอย่างนี้ว่า ท่านมาด้วยกรรมของตน
ก็จักไปด้วย
กรรมของตน แม้เขาก็มาด้วยกรรมของตน ( เขา ) จักไปด้วยกรรมของตน ( เขา ) เหมือนกัน
ท่านจะยึดถือ
อะไรกันดังนี้ และด้วยการพิจารณาถึงความไม่มีสัตว์อย่างนี้ว่า เมื่อว่าโดยปรมัตถ์
ที่ว่าสัตว์ๆ มันไม่มี
ท่านจะยึดอะไรกันเล่าดังนี้
- ตั้งการวางตนเป็นกลางในสังขาร ด้วยอาการ ๒ อย่างคือ ด้วยการพิจารณาโดยความเป็นของไม่มีเจ้าของ
อย่างนี้ว่า จีวรนี้จักเข้าถึงความเปลี่ยนสีและความเก่าคร่ำคร่า เป็นผ้าเช็ดเท้า
ต้องเขี่ยทิ้งด้วยปลายไม้เท้า
ก็ถ้าว่าจีวรนั้น พึงมีเจ้าของไซร้ เขาก็ไม่พึงให้มันเสียหายอย่างนี้ ดังนี้
และด้วยการพิจารณาโดยความเป็น
ของชั่วคราวอย่างนี้ว่า จีวรนี้อยู่ไม่ได้นาน เป็นของชั่วคราวดังนี้ แม้ในบริขารมีบาตรเป็นต้น
ก็พึงประกอบ
ความเหมือนอย่างในจีวร
- ในข้อว่า เว้นบุคคลผู้ยึดถือในสัตว์และสังขาร มีวินิจฉัยดังนี้
- บุคคลใดเป็นคฤหัสถ์ ก็ยึดถือปิยชน มีบุตร ธิดา เป็นต้น
ของตนหรือเป็นบรรพชิตก็ยึดถือบรรพชิตมี
อันเตวาสิก และผู้ร่วมอุปัชฌาย์กันเป็นต้นของตน มัวทำกิจกรรมมีปลงผม เย็บจีวร
ซักย้อมจีวร ระบมบาตร
เป็นต้น ของชนเหล่านั้น ด้วยมือของตนทีเดียว เมื่อไม่เห็นเพียงครู่เดียว ก็บ่นถึงว่าสามเณรรูปโน้นไปไหน
ภิกษุหนุ่มรูปโน้นไปไหน เหลียวซ้ายแลขวา เหมือนมฤคตื่นตกใจฉะนั้น แม้ผู้อื่นอ้อนวอนขอว่า
โปรดส่งสามเณร
ชื่อโน้นไปช่วย ปลงผมเป็นต้น สักครู่เถิดดังนี้ ก็ไม่ยอมให้ ด้วยพูดว่า พวกเราจะไม่ให้ทำกิจกรรมของตนบ้างหรือ
พวกท่านพาเธอไปจะลำบากดังนี้ บุคคลนี้ชื่อว่ายึดถือสัตว์
- ฝ่ายบุคคลใด ยึดถือบริขารมีจีวร บาตร ถลกบาตร ไม้เท้าเป็นต้น
แม้ผู้อื่นจะเอามือจับก็ไม่ให้จับ ถึงขอยืม
ก็ตอบขัดข้องว่า เราต้องการใช้ทรัพย์ก็ยังไม่ใช้ จักให้พวกท่านได้อย่างไรดังนี้
บุคคลนี้ชื่อว่า ยึดถือสังขาร
- ฝ่ายบุคคลใด วางตนเป็นกลาง เที่ยงตรงในวัตถุทั้งสองนั้น
บุคคลนี้ชื่อว่าวางตนเป็นกลาง ในสัตว์และสังขาร
- เมื่อเว้นไกลบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขารเห็นปานฉะนี้ก็ดี
คบหาบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร
ก็ดี มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อเกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในอิริยาบถทั้งหลาย มี ยืน
นั่ง เป็นต้นก็ดี อุเบกขาสัมโพชฌงค์
นี้ย่อมเกิดได้ด้วยประการฉะนี้ ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็อุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้นอันเกิดแล้ว
ด้วยอาการอย่างนี้
ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค
- คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา
หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย เพราะกำหนด
สัมโพชฌงค์ ๗ ของตน หรือของคนอื่น หรือ กำหนดสัมโพชฌงค์ ๗ ของตนตามกาล หรือของคนอื่น
ตามกาลอยู่ ก็ความเกิดและความเสื่อม พึงทราบด้วยอำนาจความเกิด และความดับแห่งสัมโพชฌงค์
ทั้งหลาย
- คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่าธรรมมีอยู่ ความว่า
สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า ธรรมแลมีอยู่
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์ ท่านอธิบายว่า
สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อ
ประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ
ขึ้นไป และประมาณ
แห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า ไม่ถูก
กิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ
ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
สติกำหนดโพชฌงค์ เป็นอริยสัจ
๔
- ในโพชฌงค์บรรพนี้ สติอันกำหนดโพชฌงค์ เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติกำหนด
โพชฌงค์ เป็นอารมณ์นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง
เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคอัน
กำหนดทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธเป็นอารมณ์เป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายโดยทางสัจจะ
๔ อย่างนี้
ย่อมบรรลุนิพพานดับทุกข์ได้แล นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดสติกำหนด
โพชฌงค์ อย่างนี้แล
จบโพชฌงคบรรพ