คัดลอกจากจักกวัตติสูตร พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

ว่าด้วยการงดเว้นอกุศลกรรมบถ ๑0 อายุยืน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี เด็กหญิงที่มีอายุ ๕00 ปี จึงจักควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี จักมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑ ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี ชมพูทวีปนี้ จักมั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งอเวจีนรก จักยัดเยียดไปด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าไม้แก่น ฉะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี เมืองพาราณสีนี้ จักเป็นราชธานีมีนามว่าเกตุมดี เป็นเมืองที่มีมั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คนคับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี ในชมพูทวีปนี้ จักมีเมืองแปดหมื่นสี่พันเมือง มีเมืองเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เมือง เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คหบดีแก้ว ปริณายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศัตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงความพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกบัดนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้ พร้อมเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม ว่าพระเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์ หลายพัน เหมือนตถาคต บริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ ฉันนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะ จักทรงให้ยกขึ้น ซึ่งปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แลัวจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จักทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเมตไตรย์ ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียวไม่ประมาท มีความเพียรมีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านัก ก็จักทรงทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ในทิฏฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่

สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสไว้ด้วยว่าสามารถแห่งอายุ สัตว์ที่เจริญว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายในเวลาที่มนุษย์มีอายุ ๘0000ปี พระผู้มีพระภาคเจ้านามว่า เมตตรัย จักอุบัติขึ้นในโลก เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่บังเกิดในเวลาสัตว์ที่มีอายุเจริญแต่ย่อมเกิดในเวลาสัตว์มีอายุเสื่อม อธิบายว่า เพราะเหตุนั้นเวลาใด อายุนั้น เจริญแล้ว ถึงความเป็นอสงไขยแล้ว กลับตกไปอีก จักตั้งอยู่ในกาลที่สัตว์มีอายุ ๘0000 ปี ในกาลนั้นพระพุทธเจ้าจักอุบัติขึ้น

พระอภิธรรมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค

อายุของมนุษย์ กล่าวเฉพาะในชมพูทวีปที่เราท่านอยู่กันนี้ ก็ไม่แน่นอน ในสุตตันตมหาวัคคพระบาลีว่า บุคคลใดมีอายุยืน ย่อมมีอายุถึง ๑00 ปี และเกินกว่า ๑00 ปีไป เล็กน้อย ก็มีบ้าง แต่ไม่ถึง ๒00 ปี และในโลกบัญญัติปกรณ์ก็แสดงว่า อายุขัยของมนุษย์กำหนดร้อยปีนี้ เป็นมาตั้งแต่สมัยพระเวสสันดร จนถึงสมัยสมเด็จพระสมณโคดมนี้และนับแต่นั้นมา ๑00 ปี อายุขัยก็ลดลง ๑ ปี ดังนั้นบัดนี้ (๒๕๔0) อายุขัยของมนุษย์จึงลดลงเพียง ๗๕ ปีเท่านั้น ผู้ที่มีอายุยืนพิเศษ ก็ไม่เกิน ๒ เท่าอายุขัย คือไม่เกิน ๑๕0 ปี นอกจากนั้นก็มีอันตรายที่ทำให้ถึงตายไม่น้อยเลย

-----------------------------------------------------------------------------

กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย นั้น คือ กำหนดเอากาลเวลาที่มากมายยาวนานเหลือที่จะนับจะประมาณได้ เพราะคำว่า อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ คืออย่านับดีกว่า ซึ่งมีคำอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า

ฝนตกใหญ่มโหฬารทั้งกลางวันกลางคืน เป็นเวลาถึง ๓ ปีติดต่อกันไป มิได้หยุด มิได้ขาดสายเม็ดฝน จนน้ำฝนเจิ่งนองท่วมท้นเต็มขอบจักรวาล อันมีระดับสูงได้ ๘๔000โยชน์ ทีนี้ ถ้าสามารถนับเม็ดฝน และหยาดแห่งเม็ดฝนที่กระจายเป็นฟองฝอยใหญ่น้อย ในขณะที่ฝนตกใหญ่ ๓ ปี ติดต่อกันนั้น นับได้จำนวนเท่าใด อสงไขยหนึ่ง เป็นจำนวนปีเท่ากับเม็ดฝนและหยาดแห่งเม็ดฝนที่นับได้นั่นแหล่ะ