"พจนานุกรมพุทธศาสนํ" ฉบับ ประมวลศัพท์ ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) อยู่ในคำว่า "ภูตะ" หน้า 207 ท่านอธิบายไว้ว่า...

"สัมภเวสี" คือ สัตว์ผู้ยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งได้แก่ปุถุชนและ พระเสขะผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอีก หรือสัตว์ในครรภ์และในไข่ที่ยังอยู่ระหว่างจะเกิด

และ หน้า 440

คำว่า "โอปปาติกะ" สัตว์ที่เกิดผุดขึ้น คือ เกิดผุดขึ้นมาเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฏ เช่น เทวดา และ สัตว์นรก เป็นต้น ; บาลีว่า รวมทั้งมนุษย์บางจำพวก

---------------------------------------------------------------------------------------

"สัมภเวสี" ที่ว่า คือพวกที่ต้องแสวงหาพ่อแม่หรือแสวงหาที่เกิดนั้นพวกเราที่เป็นปุถุชนก็เป็น "สัมภเวสี" ด้วยกันทั้งนั้นเพราะยังไม่นิพพาน ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดหรือตายแล้วต้องเกิด หรือแสวงหาที่เกิดกันทุกคน..... แต่ที่บอกว่าเป็นวิญญาณที่เร่ร่อนยังหาที่เกิดไม่ได้นั้นและยังไม่เกิดนั้น...ไม่ถูกต้องตามพระอภิธรรมครับ... เพราะในพระอภิธรรมบอกว่า เวลาสัตว์ที่อยู่ใน 31 ภพภูมินั้นกำลังตายนั้น "จุติจิต" คือจิตขณะที่กำลังตายจะเกิดขึ้น....และเกิดขึ้น"ขณะ"เดียวเท่านั้น.... "ปฏิสนธิจิต" ก็จะเกิดต่อทันทีไม่มีจิตดวงใดมาคั่น....และเมื่อเกิด "ปฏิสนธิจิต" แล้วก็คือเกิดในภพใหม่แล้ว...คือ "จุติจิต" เกิด "ปฏิสนธิจิต" ต้องเกิดต่อทันที....ยกเว้นพระอรหันต์ที่ไม่มี "ปฏิสนธิจิต" เกิดต่อเพราะท่านไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว.......ดังนั้นที่บอกว่าตายแล้วยังไม่ไปเกิดนั้นไม่ถูกต้องครับ ส่วนที่บอกว่าเป็นวิญญาณหรือมีแต่วิญญาณเร่ร่อนนั้นก็ไม่ถูกอีกเพราะที่พูดถึงกันนี้คือ กามภูมิ คือ อบายภูมิ 4 มนุษย์ 1 และ เทวดาอีก 6 กามภูมินี้เป็นภูมิที่มีขันธ์ 5 ครบ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีภูมิไหนที่ไม่มีรูปขันธ์ ดังนั้นที่บอกว่ามีแต่วิญญาณนั้นไม่ถูกต้องส่วนภูมิที่ไม่มีรูปขันธ์นั้นมีครับคือ "อรูปภูมิ" เป็นภูมิที่มีแค่ 4 ขันธ์ คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สังขารขันธ์นั้นพระองค์หมายถึง เจตสิก ที่ปรุงแต่งจิตครับซึ่งเป็นนาม ไม่ใช่รูป) ดังนั้นการที่บอกว่ามีแต่วิญญาณเร่ร่อนและยังไม่เกิดนั้นก็ไม่ถูกต้อง......ที่ถูกคือ (กามภูมิปุถุชน) ตายแล้วต้องเกิดทันทีไม่มีระหว่างคั่น.....คำว่า "สัมภเวสี" นั้นหมายถึงเราทุกคนที่เป็นปุถุชนที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่.....ไม่ใช่ผีหรือวิญญาณเร่ร่อนอย่างที่เข้าใจกัน.

...ยังมีอีกคำหนึ่งที่พูดกันสับสน คือ " โอปปาติก" บางคนก็บอกว่าเป็นพวกเทวดาเป็นผีหรือเปรตหรืออสูรกายที่ไม่ใช่มนุษย์ ที่จริงตามนัยแห่ง พระอภิธรรมเป็นชื่อแห่งกำเนิด 4 คือ ที่ที่สัตว์จะอาศัยเกิด มี4 คือ

1) ชลาพุชกำเนิด คือพวกที่อาศัยเกิดในท้องมารดาแล้วคลอดมาเป็นตัวเลย

2) อัณฑชกำเนิด คือ พวกที่อาศัยท้องมารดาเหมือนกันแต่ออกมาเป็นฟองไข่ไม่ได้ออกมาเป็นตัว

3) สังเสทชกำเนิด คือ ไม่ได้อาศัยเกิดจากท้องมารดา แต่อาศัยเกิดจากต้นไม้ดอกไม้ โลหิต หรือที่เปียกชื้น เกิดมาก็เล็กเป็นทารก แล้วจึงค่อยๆเติบโตขึ้นมาเช่นนาง จิญจมานวิกา เกิดจากต้นมะขาม นางปทุมวดีเกิดจากดอกบัวและโอรสของนางปทุมวดีรวม 499 องค์ เกิดจากโลหิตเป็นต้น

4) โอปปาติกกำเนิด ไม่ได้อาศัยเกิดจากท้องมารดา ไม่ได้อาศัยสิ่งใดเกิด แต่เกิดโดยโผล่ขึ้นมา และโตใหญ่เต็มที่ในทันทีทันใดเลย สัตว์ที่เป็นโอปปาติกกำเนิดได้แก่

ก) มนุษย์ มีสมัยต้นกัปป์

ข) เทวดาทั้งหมด ๖ ชั้น (เว้นเทวดาชั้นต่ำ ที่เกิดได้ทั้งชลาพุช,อัณฑช,สังเสทชกำเนิด)

ค) พรหมทั้งหมด

ง) สัตว์เดรัจฉาน (ซึ่งมีกำเนิดได้ทั้ง 4 )

จ) เปรต (ซึ่งมีกำเนิดได้ทั้ง 4 ยกเว้น นิชฌามตัณหิกเปรต ที่มีโอปปาติกกำเนิดเพียงอย่างเดียว)

ฉ) อสูรกาย (ซึ่งมีกำเนิดได้ทั้ง 4)

ดังนั้นคำว่า "โอปปาติก" คือชื่อกำเนิด 1 ใน 4 กำเนิด ไม่ใช่พวก "อมนุษย์" เท่านั้น เพราะมนุษย์ ก็เกิดโดย "โอปปาติก" ได้ ในสมัยมนุษย์ต้นกัปป์