พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 278 หน้า 214-215 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
กายานุปัสสนา
ธาตุมนสิการบรรพ
- [ ๒๗๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุย่อมพิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งตามปกตินี้นี่แล
โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนฆ่าโค หรือลูกมือคนฆ่าโคผู้ฉลาด
ฆ่าแม่โคแล้ว พึงแบ่งออกเป็นส่วน แล้วนั่งอยู่
หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ฉันนั้นนั่นแล ย่อมพิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้ง
ตามปกตินี้นี่แล โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
ดังนี้
- ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย
เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย
ทั้งภายในภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียง
สักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ
อยู่อย่างนี้
จบข้อกำหนดว่าด้วยธาตุ
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 304-305 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
ธาตุมนสิการบรรพ
- พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางการใส่ใจถึงกายโดยเป็นของปฏิกูล
อย่างนี้แล้ว
บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยทางการใส่ใจถึงกายโดยความเป็นธาตุ จึงตรัสธาตุมนสิการบรรพว่า
ยังมีอีกข้อ
หนึ่งว่า เป็นต้น ในธาตุมนสิการบรรพนั้น มีการพรรณนาอรรถพร้อมด้วยข้อเทียบเคียงอุปมาดังต่อไปนี้
คนฆ่า
โคบางคน หรือลูกมือของเขา ที่เขาเลี้ยงดูด้วยอาหารและค่าจ้าง ฆ่าโคแล้วชำแหละแบ่งออกเป็นส่วนๆ
แล้ว
นั่ง ณ ที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง คือ ชุมทางย่านกลางทางใหญ่ ซึ่งไปได้ทั้ง ๔ ทิศ ฉันใด
ภิกษุ ( ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน )
ก็ฉันนั้นนั่นแล ย่อมพิจารณากาย ซึ่งชื่อว่าตั้งอยู่ตามที่ เพราะตั้งอยู่ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง
แห่งอิริยาบถ
ทั้ง ๔ และซึ่ง ชื่อว่าดำรงอยู่ตามที่ เพราะตั้งอยู่ตามที่ อย่างนี้ว่า ในกายนี้มีปฐวีธาตุ
อาโปธาตุ เตโชธาตุ
วาโยธาตุ
กายสักว่าธาตุ ๔
- ท่านอธิบายไว้อย่างไร ท่านอธิบายไว้ว่า
เมื่อคนฆ่าโคเลี้ยงโคอยู่ก็ดี นำโคไปยังที่ฆ่าก็ดี นำมาผูกไว้ที่
ฆ่าก็ดี กำลังฆ่าก็ดี มองดูโคที่ฆ่าตายแล้วก็ดี ความสำคัญว่าโค ยังไม่หายไปตราบเท่านี้
เขายังไม่ได้
ชำแหละโคนั้นออกเป็นส่วนๆ ต่อเมื่อเขาชำแหละแบ่งออกแล้ว ความสำคัญว่าโคก็หายไป
กลับสำคัญ
เนื้อโคไป เขามิได้คิดว่า เราขายโค คนเหล่านี้ซื้อไป ที่แท้ เขาคิดว่า เราขายเนื้อโค
คนเหล่านี้ซื้อเนื้อโค
เปรียบฉันใด แม้ภิกษุนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อครั้งเป็นปุถุชนผู้เขลา เป็นคฤหัสก็ดี
บรรพชิตก็ดี ความ
สำคัญว่าสัตว์หรือบุคคล ตัวตน ยังไม่หายไปก่อนตราบเท่าที่ยังไม่พิจารณาเห็นกายนี้นี่แล
ตามที่ตั้งอยู่
ตามที่ดำรงอยู่ แยกออกจากก้อน โดยความเป็นธาตุ ต่อเมื่อเธอพิจารณาเห็นโดยความเป็นธาตุ
ความ
สำคัญว่าสัตว์จึงหายไป จิตก็ตั้งอยู่ด้วยดี โดยความเป็นธาตุอย่างเดียว เพราะฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้นี่แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยความเป็นธาตุว่า
มีอยู่ในกายนี้
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค
หรือลูกมือของคนฆ่าโค
ผู้ขยัน ฆ่าแม่โคแล้ว พึงแบ่งออกเป็นส่วน แล้วนั่งอยู่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง แม้ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ฉันนั้นนั่นแล ย่อมพิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งตามปกตินี้นี่แล โดยความเป็นธาตุว่า
มีอยู่ในกายนี้ ปฐวีธาตุ
อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ดังนี้ฉันนั้น ก็พระโยคาวจร เปรียบเหมือนคนฆ่าโค
ความสำคัญว่า สัตว์เปรียบ
เหมือนความสำคัญว่าโค อิริยาบถทั้ง ๔ เปรียบเหมือนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ความพิจารณาเห็นโดยความเป็น
ธาตุ เปรียบเหมือนการที่คนฆ่าโคนั่งแบ่งออกเป็นส่วนๆ นี้เป็นการพรรณนาบาลี ในธาตุมนสิการบรรพนี้
ส่วน
กถาว่าด้วยกัมมัฏฐาน ท่านพรรณานาไว้พิสดาร ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้ว
- คำว่า หรือภายใน ความว่า
พิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือ ในกายของคนอื่น หรือในกายของ
ตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดธาตุ ๔ ด้วยอาการอย่างนี้อยู่
- คำบาลีเป็นต้นว่า สติของเธอก็ปราฏชัดว่า กายมีอยู่
ความว่า สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า
กายแลมีอยู่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร
ไม่ใช่ของใคร คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์
ท่านอธิบายว่า สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น
หาใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ
ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ ขึ้นไป
และประมาณแห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า
ไม่ถูกกิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า
ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
สติกำหนดธาตุ ๔ เป็นอริยสัจ
๔
- ในธาตุมนสิการบรรพนี้ สติกำหนดธาตุ ๔ เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติ
กำหนดธาตุ ๔ เป็นอารมณ์นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสมุทัยสัจ การไม่เกิดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง
เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคมีประการดังกล่าวมาแล้วเป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายโดยทางสัจจะ
๔ อย่างนี้ ย่อมบรรลุ
นิพพานดับทุกข์ได้แล นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดสติกำหนดธาตุ
๔
เป็นอารมณ์ รูปหนึ่งฉะนี้แล
จบธาตุมนสิการบรรพ