พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 273 หน้า 209-210 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
มหาสติปัฏฐานสูตร
กถาว่าด้วยอุทเทสวาร
- [ ๒๗๓ ] ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้วอย่างนี้
:-
- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จประทับอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุ นิคมของหมู่ชนชาวกุรุ ชื่อกัมมาสทัมมะ ใน
กาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ดังนี้ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลรับ
พระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความ
ก้าวล่วงซึ่งความโศกและความร่ำไร เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัสเพื่อบรรลุญายธรรม
เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง ทางนี้คือสติปัฏฐาน ( ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ ) ๔ อย่าง
สติปัฏฐาน ๔
อย่างเป็นไฉน
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร ( อาตาปี )
มีสัมปชัญญะ ( สมฺปชาโน ) มีสติ ( สติมา ) นำอภิชฌาและโทมนัส (
ความยินดียินร้าย ) ในโลกเสียให้พินาศ เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ
อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส ในโลก
เสียให้พินาศ เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกเสียให้พินาศ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ นำอภิชฌาและ
โทมนัส ในโลกเสียให้พินาศ
จบกถาว่าด้วยอุทเทสวาร
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 258-290
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
- มหาสติปัฏฐานสูตร มีคำเริ่มต้นว่า
ข้าพเจ้าฟังมาแล้วอย่างนี้ ในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น มีพรรณาตามลำดับ
บทดังต่อไปนี้
มูลกำเนิดมหาสติปัฏฐานสูตร
- เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นหนทางเดียว
ก็เพราะชนชาวแคว้นกุรุสามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งได้
- เล่ากันว่า ชาวแคว้นกุรุ ไม่ว่าเป็นภิกษุ
ภิกษุณี และอุบาสก อุบาสิกา มีร่างกายและจิตใจสมบูรณ์อยู่เป็นนิจ
ด้วยเสพปัจจัย คือฤดูที่สบาย เพราะแคว้นนั้น สมบูรณ์ด้วยสัปปายะ มีอุตุสัปปายะเป็นต้น
ชาวกุรุนั้น มีกำลังปัญญา
อันร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์อุดหนุนแล้ว จึงสามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งนี้ได้
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ
ทรงเห็นความเป็นผู้สามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งอันนี้ จึงทรงยกกัมมัฏฐาน ๒๑ ฐานะ
ใส่ลงในพระอรหัตตรัสมหา
สติปัฏฐานสูตรที่มีอรรถลึกซึ้งนี้ แก่ชาวกุรุเหล่านั้น เปรียบเสมือนบุรุษได้ผอบทองแล้ว
พึงบรรจงใส่ดอกไม้นานา
ชนิดลงในผอบทองนั้น หรือว่าบุรุษได้หีบทองแล้ว พึงใส่รัตนะ ๗ ลงฉันใด แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ฉันนั้น ทรงได้
บริษัทชาวกุรุแล้ว จึงทรงวางเทศนาที่ลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้แล ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงสูตรอื่นๆ
อีก
มีอรรถอันลึกซึ้งในคัมภีร์ทีฆนิกายนี้ ก็คือมหานิทานสูตร ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย
ก็คือ สติปัฏฐานสูตร รุกโขปมสูตร
มาคัณฑิยสูตร อาเนญชสัปปายสูตร
- อนึ่ง บริษัท ๔ ในแคว้นกุรุนั้น
ต่างประกอบเนืองๆ ในการเจริญสติปัฏฐานอยู่โดยปกติ โดยที่สุด คนรับใช้ และ
คนงานทั้งหลาย ก็พูดกันแต่เรื่องที่เกี่ยวด้วย สติปัฏฐานกันทั้งนั้น แม้แต่ในที่ท่าน้ำ
ที่กรอด้ายเป็นต้น ก็ไม่มีการพูด
กันถึงเรื่องที่ไร้ประโยชน์เลย ถ้าสตรีบางท่านถูกถามว่า คุณแม่จ๊ะ คุณแม่ใส่ใจสติปัฏฐานข้อไหน
นางจะไม่ตอบว่าอะไร
ชาวกุรุจะติเตียนเขาว่าน่าตำหนิชีวิตของเจ้าจริงๆ เจ้าถึงเป็นอยู่ ก็เหมือนตายแล้ว
ต่อนั้นก็จะสอนเขาว่า อย่าทำ
อย่างนี้อีกต่อไปนะ แล้วให้เขาเรียนสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง แต่สตรีใดพูดว่า ดิฉันใส่ใจสติปัฏฐานข้อโน้นเจ้าค่ะ
ชาวกุรุก็จะกล่าวรับรองว่า สาธุ สาธุ แก่นาง สรรเสริญด้วยถ้อยคำต่างๆ เป็นต้นว่า
ชีวิตของเจ้าเป็นชีวิตดีสมกับ
ที่เจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติมาเพื่อประโยชน์แก่เจ้าแท้ๆ
ในข้อนี้ มิใช่ชาวกุรุที่เกิดมา
เป็นมนุษย์ประกอบด้วยการใส่ใจสติปัฏฐานแต่พวกเดียวเท่านั้น แม้แต่สัตว์ดิรัจฉาน
ที่อาศัยชาวกุรุอยู่ก็ใส่ใจ เจริญ
สติปัฏฐานด้วยเหมือนกัน ในข้อนั้น มีเรื่องสาธกดังต่อไปนี้
เรื่องลูกนกแขกเต้า
- เขาเล่าว่า นักฟ้อนรำผู้หนึ่ง
จับลูกนกแขกเต้าได้ตัวหนึ่ง ฝึกสอนมันพูดภาษาคน ( ตัวเองเที่ยวไปแสดงการ
ฟ้อนรำในที่อื่นๆ ) นักฟ้อนรำ ผู้นั้นอาศัยสำนักของนางภิกษุณีอยู่ เวลาไปในที่อื่นๆ
ลืมนกแขกเต้าเสียสนิทแล้วไป
เหล่าสามเณรีก็จับมันมาเลี้ยงตั้งชื่อมันว่า พุทธรักขิต วันหนึ่ง พระมหาเถรี
เห็นมันจับอยู่ตรงหน้า จึงเรียกมันว่า
พุทธรักขิต ลูกนกแขกเต้าจึงขานถามว่า อะไรจ๊ะ แม่เจ้า พระมหาเถรีจึงถามว่า การใส่ใจภาวนาอะไรๆ
ของเจ้า
มีบ้างไหม มันตอบว่า ไม่มีจ๊ะแม่เจ้า มหาเถรีจึงสอนว่า ขึ้นชื่อว่าผู้อยู่ในสำนักของนักบวช
จะปล่อยตัวอยู่ไม่สมควร
ควรปรารถนาการใส่ใจบางอย่าง แต่เจ้าไม่ต้องสำเหนียกอย่างอื่นดอก จงท่องว่า อัฏฐิ
อัฏฐิ ก็พอ ลูกนกแขก
เต้านั้น ก็อยู่ในโอวาทของพระเถรี ท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ อย่างเดียวแล้วเที่ยวไป
วันหนึ่ง ตอนเช้ามันจับอยู่ที่ยอดประตู
ผึ่งแดดอ่อนอยู่ แม่เหยี่ยวตัวหนึ่งก็เฉี่ยวมันไปด้วยกรงเล็บ มันส่งเสียงร้อง
กิริๆ เหล่าสามเณรี ก็ร้องว่าแม่เจ้า
พุทธิรักขิตถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป เราจะช่วยมัน ต่างคว้าก้อนหินเป็นต้น ไล่ตามจนเหยี่ยวปล่อย
เหล่าสามเณรีนำมัน
มาวางไว้ตรงหน้าพระมหาเถรีๆ ถามว่า พุทธรักขิตขณะถูกเหยี่ยวจับไปเจ้าคิดอย่างไร
ลูกนกแขกเต้าตอบว่า
แม่เจ้า ไม่คิดอะไรๆ ดอก คิดแต่เรื่องกองกระดูกเท่านั้นจ๊ะแม่เจ้า ว่ากองกระดูกพากองกระดูก
จักเรี่ยราดอยู่
ในที่ไหนหนอ พระมหาเถรี จึงให้สาธุการว่า สาธุ สาธุ พุทธรักขิตนั้นจักเป็นปัจจัย
แห่งความสิ้นภพของเจ้า ในกาล
ภายภาคหน้าแล แม้สัตว์ดิรัจฉานในแคว้นกุรุนั้น ก็ประกอบเนืองๆ ซึ่งสติปัฏฐาน
ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงความเจริญแพร่หลายแห่งสติปัฏฐานของชาวกุรุเหล่านั้น
จึงได้ตรัสพระสูตรนี้
อธิบายความตามลำดับบท
- ในพระสูตรนั้น ข้อว่า เป็นทางเดียว
คือ เป็นทางเอก แท้จริงทางมีมากชื่อ คือ
มัคคะ ปันถะ ปถะ ปัชชะ อัญชสะ
วฏุมะ อยนะ นาวา อุตตรเสตุ กุลละ ภิสิสังกมะ
- ทางนี้นั้น ในที่นี้ ท่านกล่าวโดยชื่อ
อยนะ เพราะฉะนั้น ในข้อที่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียวนี้
จึงควรเห็นความอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเอกมิใช่ทางสองแพร่ง
- อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า เอกายนะ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า
เป็นทางที่บุคคลพึงไปผู้เดียว คำว่า ผู้เดียว คือคนที่ละ
การคลุกคลีด้วยหมู่ ปลีกตัวไปสงบสงัด ข้อว่า พึงไป คือ พึงดำเนินไป อีกนัยหนึ่ง
ชื่อว่า อยนะ เพราะอรรถ
วิเคราะห์ว่าเป็นเครื่องไป อธิบายว่า ไปจากสังสารวัฏสู่พระนิพพาน หนทางไปของบุคคลผู้เป็นเอก
ชื่อว่า เอกายนะ
บทว่า เอกสฺส คือของบุคคลผู้ประเสริฐสุดแห่งสรรพสัตว์ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงประเสริฐกว่าสรรพสัตว์
เพราะฉะนั้น ท่านจึงอธิบายว่า หนทางของพระพุทธเจ้า แม้สัตว์เหล่าอื่น ถึงจะเดินไปด้วยหนทางนั้นก็จริง
แม้เช่นนั้น
หนทางนั้นก็เป็นทางเดินของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น เพราะเป็นทางที่พระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้นเหมือนอย่างที่
ตรัสไว้ ( ในโคปกโมคคัลลานสูตร ) ว่า ดูก่อนพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ทำมรรคที่ยังไม่เกิด
ให้เกิด
ขึ้นดังนี้เป็นต้น อีกนัยหนึ่ง ทางย่อมไป เหตุนั้น จึงชื่อว่า อยนะ อธิบายว่า
ไป คือเป็นไป หนทางไป ในธรรมวินัย
อันเดียว ชื่อว่า เอกายนะ ท่านอธิบายว่า หนทางเป็นไปในธรรมวินัยนี้เท่านั้น ไม่เป็นไปในธรรมวินัย
( ศาสนา ) อื่น
เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ ( ในมหาปรินิพพานสูตร ) ว่าดูก่อนสุภัททะ มรรคมีองค์ ๘
ที่เป็นอริยะ บุคคลจะได้ก็แต่
ในธรรมวินัยนี้แล ดังนี้ ก็มรรคนั้นต่างกันโดยเทศนา แต่โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกันนั้นเอง
- อีกนัยหนึ่ง หนทางย่อมไปครั้งเดียว
เหตุนั้นหนทางนั้นจึงชื่อเอกายนะ ( ทางไปครั้งเดียว ) ท่านอธิบายว่า
หนทางแม้ไปโดย มุข คือภาวนามีนัยต่างๆ กัน ณ เบื้องต้น ในเบื้องปลาย ก็ไปสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั่นเอง
เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ ( ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) ว่าท้าวสหัมบดีพรหมกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
- เอกายนํ ชาติขยนฺตทสฺสี มคฺคํ
ปชานาติ หิตานุกมฺปี เอเตน มคฺเคน ตรึสุ ปุพฺเพ ตริสฺสเร เจว
ตรนฺติ โจฆํ
- พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นธรรมเป็นที่สิ้นชาติ
ทรงพระกรุณาอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล
ทรงทราบชัดเอกายนมรรค พระพุทธะทั้งหลายในอดีตพากันข้าม โอฆะ ( โอฆะ ๔ ) ด้วยมรรคนั้น
มาแล้ว พระพุทธะทั้งหลายในอนาคตก็จักข้ามโอฆะด้วยมรรคนั้น และพระพุทธะทั้งในปัจจุบัน
ก็ข้ามโอฆะด้วยมรรคอย่างเดียวกันนั้นแล
- ในข้อว่า มรรค ที่ชื่อว่ามรรค
เพราะอรรถว่าอะไร เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องเดินไปสู่พระนิพพานอย่างหนึ่ง
เพราะอรรถว่า อันผู้ต้องการพระนิพพานพึงค้นหา อย่างหนึ่ง
- ข้อว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย
หมายความว่า เพื่อประโยชน์แก่ความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย
ผู้มีจิตเศร้าหมอง เพราะมลทินทั้งหลายมีราคะเป็นต้น และเพราะอุปกิเลสทั้งหลาย
มีอภิชฌาวิสมโลภะเป็นต้น เป็น
ความจริง สัตว์เหล่านี้คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเอนก ตั้งต้นแต่พระพุทธเจ้า
พระนามว่า ตัณหังกร
เมธังกร สรณังกร ทีปังกร ซึ่งปรินิพพานในกัปป์เดียวเท่านั้น เบื้องต้นแต่ ๔ อสงไขยแสนกัปป์
แต่กัปป์นี้ลงมา จนถึง
พระพุทธเจ้าพระนามว่า ศากยมุนี เป็นที่สุด พระปัจเจกพระพุทธเจ้าหลายร้อย และพระอริสาวกทั้งหลาย
อีกนับ
ไม่ถ้วน ต่างลอยมลทินทางจิตทั้งหมด ถึงความหมดจดอย่างยิ่ง ด้วยทางนี้เท่านั้น
การบัญญัติความเศร้าหมอง
และผ่องแผ้ว โดยมลทินทางรูปอย่างเดียว ไม่มี สมจริง ดังคำที่กล่าวไว้ว่า
- รูเปน สงฺกิลิฏฺเฐน สํกิลิสฺสนฺติ
มาณวา รูเป สุทฺเธ วิสุชฺฌนฺติ อนกฺขาติ มเหสินา จิตฺเตน สงฺกิลิฏฺเฐน
สํกิลิสฺสนติ มาณวา จิตฺเต สุทฺเธ วิสุชฺฌนฺติ อิติ วุตฺตํ มเหสินา
- พระพุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
มิได้ตรัสสอนว่า คนทั้งหลาย มีรูปเศร้าหมองแล้ว
จึงเศร้าหมอง มีรูปหมดจดแล้ว จึงหมดจด แต่พระผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงสอนว่า
คน
ทั้งหลาย มีจิตเศร้าหมองแล้วจึงเศร้าหมอง มีจิตหมดจดแล้ว จึงหมดจด ดังนี้
เหมือนอย่างที่ตรัสไว้
( ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ) ว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมอง
เพราะจิต
เศร้าหมอง ย่อมบริสุทธิ์ เพราะจิตผ่องแผ้ว ดังนี้ ก็ความผ่องแผ้วแห่งจิตนั้น
ย่อมมีได้ด้วยมรรค คือ สติปัฏฐานนี้
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย
- ข้อว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะ และปริเทวะ
หมายความว่า เพื่อก้าวล่วง คือ ละโสกะ และปริเทวะ จริงอยู่ มรรคนี้
อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อก้าวล่วง โสกะ เหมือนอย่าง โสกะของสันตติมหาอำมาตย์เป็นต้น
เพื่อก้าวล่วง
ปริเทวะ เหมือนอย่างปริเทวะของนางปฏาจาราเป็นต้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เพื่อ
ก้าวล่วง โสกะ และปริเทวะ แท้จริงสันตติมหาอำมาตย์ฟังคาถาที่ว่า
- ยํ ปุพฺเพ ตํ วิโสเธหิ ปจฺฉา
เต มาหุ กิญฺจนํ มชฺเฌ เจ โน คเหสฺสสิ อุปสนฺโต จรสฺสสิ
- ท่านจงทำความโศกในกาลก่อนให้เหือดแห้ง
ท่ายอย่ามีความกังวลใจ ในกาลภายหลัง ถ้าท่านจัก
ไม่ยึดถือในท่ามกลาง ก็จักเป็นผู้สงบเที่ยวไป ดังนี้
- แล้วก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
นางปฏาจารา ฟังคาถานี้ว่า
- น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย น ปิตา
นปิ พนฺธวา อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา
- มีบุตรไว้เพื่อช่วยก็ไม่ได้
บิดาก็ไม่ได้ พวกพ้องก็ไม่ได้ เมื่อความตายมาถึงตัวแล้ว ญาติทั้งหลาย
ก็ช่วยไม่ได้ ดังนี้ แล้วก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
ก็เพราะเหตุว่า ชื่อว่าการไม่ถูกต้องธรรมบางอย่าง ในกาย
เวทนา จิต ธรรม ทั้งหลายแล้วภาวนาไม่มีเลย ฉะนั้น สันตติมหาอำมาตย์กับนางปฏาจาราแม้นั้นจึงควรทราบว่า
เป็นผู้ก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ ด้วยมรรคนี้เอง
- ข้อว่า เพื่อดับทุกข์ และโทมนัส
ความหมายว่า เพื่อตั้งอยู่ไม่ได้ คือ ดับทั้งสอง คือ ทุกข์ทางกาย และโทมนัส
ทางใจ ด้วยว่ามรรคนี้ บุคคลเจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อดับทุกข์ เหมือนทุกข์ของพระติสสะเถระเป็นต้น
ดับโทมนัส
เหมือนอย่างโทมนัสของท้าวสักกะเป็นต้น ในเรื่องทั้งสองนั้น แสดงความดังต่อไปนี้
เรื่องทุกข์ของพระติสสะเถระ
- เล่ากันว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของกุฏุมภีชื่อติสสะ
ละทรัพย์ ๔0 โกฏิ ออกบวชโดดเดี่ยวอยู่ในป่าที่ไม่มีบ้าน
ภริยาของน้องชายท่าน ส่งโจร ๕00 ให้ไปฆ่าท่านเสีย พวกโจรไปล้อมท่านไว้ ท่านจึงถามว่า
ท่านอุบาสกมา
ทำไมกัน พวกโจรตอบว่า มาฆ่าท่านนะซิ ท่านจึงพูดขอร้องว่า ท่านอุบาสกทั้งหลาย
โปรดรับประกันอาตมา
ให้ชีวิตอาตมาสักคืนหนึ่งเถิด พวกโจรกล่าวว่าสมณะใครจักประกันท่านในฐานะอย่างนี้ได้
พระเถระก็จับหิน
ก้อนใหญ่ทุบกระดูกขาทั้งสองข้าง แล้วกล่าวว่าประกันพอไหม เหล่าโจรนั้นก็ยังไม่หลบไปกลับก่อกองไฟ
เสียที่ใกล้จงกรม พระเถระข่มเวทนา พิจารณาศีล อาศัยศีล ที่บริสุทธิ์ก็เกิดปีติและปราโมช
ลำดับต่อจากนั้น
ก็เจริญวิปัสสนา ทำสมณธรรมตลอดคืน ในยามทั้งสาม พออรุณขึ้น ก็บรรลุ พระอรหัตจึงเปล่งอุทานว่า
- อุโภ ปาทานิ ภินฺทิตฺวา สญฺญมิสฺสามิ
โว อหํ อฏฺฏิยามิ หรายามิ สราคมรเณ อหํ
- เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน ยถาภูตํ วิปสฺสิสํ สมฺปตฺเต อรุณุคฺคมฺหิ
อรหตฺตํ อปาปุณึ
- เราทุบเท้าสองข้าง ป้องกันท่านทั้งหลาย เราเอือมระอาในความตายทั้งที่ยังมีราคะ
เราคิดอย่าง
นี้แล้ว ก็เห็นแจ้งตามเป็นจริง พอรุ่งอรุณมาถึง เราก็บรรลุพระอรหัต ดังนี้
เรื่องทุกข์ของภิกษุ ๓0 รูป
- ภิกษุ ๓0 รูป อีกกลุ่มหนึ่ง เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจำพรรษาในวัดป่า
ทำกติกากันว่า
ผู้มีอายุ เราควรทำสมณธรรม ตลอดคืนในยามทั้งสาม เราไม่ควรมายังสำนักของกันและกัน
แล้วต่างคนต่างอยู่
เมื่อภิกษุเหล่านั้นทำสมณธรรม ตอนใกล้รุ่งก็โงกหลับ เสือตัวหนึ่งก็มาจับภิกษุไปกินทีละรูปๆ
ภิกษุไรๆ ก็มิได้เปล่ง
แม้วาจาว่า เสือคาบผมแล้ว ภิกษุถูกเสือกินไป ๑๕ รูป ด้วยอาการอย่างนี้ ถึงวันอุโบสถ
ภิกษุที่เหลือก็ถามว่า
ท่านอยู่ที่ไหน และรู้เรื่องแล้วก็กล่าวว่า ถูกเสือคาบควรบอกว่า บัดนี้เราถูกเสือคาบไปๆ
แล้วก็อยู่กันต่อไป ต่อมา
เสือก็จับภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง โดยนัยก่อน ภิกษุหนุ่มก็ร้องว่า เสือขอรับ ภิกษุทั้งหลายก็ถือไม้เท้า
และคบเพลิงติดตาม
หมายว่าจะให้มันปล่อย เสือก็ขึ้นไปยังเขาขาด ทางที่ภิกษุทั้งหลายไปไม่ได้ เริ่มกินภิกษุนั้นตั้งแต่นิ้วเท้า
ภิกษุ
ทั้งหลายนอกนั้น ก็ได้แต่กล่าวว่าสัปบุรุษ บัดนี้ กิจที่พวกเราจะต้องทำไม่มี
ขึ้นชื่อว่าความวิเศษของภิกษุทั้งหลาย
ย่อมปรากฏในฐานะเช่นนี้ ภิกษุหนุ่มนั้น นอนอยู่ในปากเสือ ข่มเวทนาเจ็บปวด แล้วเจริญวิปัสสนา
ตอนเสือ
กินถึงข้อเท้า เป็นพระโสดาบัน ตอนกินไปถึงหัวเข่าเป็นสกทาคามี ตอนเสือกินไปถึงท้อง
เป็นพระอนาคามี
ตอนเสือกินไปยังไม่ถึงหัวใจ ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสมภิทา จึงเปล่งอุทาน
ดังนี้ว่า
- สีลวา วตฺตสมฺปนฺโน ปญฺญวา สุสมาหิโต มุหุตฺตํ ปมาทมนฺวาย
พฺยคฺเฆ โน รุทฺธมานโส
ปญฺชรสฺมึ โส คเหตฺวา สิลาย อุปรี กโต กามํ ขาทตุ มํ พฺยคฺโฆ อฏฺฐิยา จ นฺหารุสฺส
จ กิเลเส
เขปยิสฺสามิ ผุสิสฺสามิ วิมุตฺติยํ
- เรามีศีล ถึงพร้อมด้วยวัตร มีปัญญามีใจมั่นคงดีแล้ว
อาศัยความประมาท ครู่หนึ่ง ทั้งที่มีใจ
ไม่คิดร้ายในเสือมันก็จับไว้ในกรงเล็บ พาไปไว้บนก้อนหิน เสือจงกินเราถึงกระดูกและเอ็นก็ตามที
เราจักทำกิเลสให้สิ้นไป จักสัมผัสวิมุตติ ดังนี้
เรื่องทุกข์ ของพระปีติมัลลเถระ
- ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ชื่อ ปีติมัลลเถระ ครั้งเป็นคฤหัสถ์
ท่านถือธงมาเกาะลังกา ถึง ๓ รัชกาล เข้าเฝ้าพระ
ราชาแล้ว ได้รับพระราชานุเคราะห์ วันหนึ่ง เดินทางไปประตูศาลา ที่มีที่นั่งปูด้วยเสื่อลำแพน
ได้ฟังนตุมหากวรรค
( ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่าน ท่านจงละรูปนั้นเสีย
รูปนั้นท่าน
ละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลนาน ดั่งนี้ แล้วก็คิดว่า
มิใช่รูปเท่านั้น เวทนา
ก็ไม่ใช่ของตน เขาทำบาลีนั้นให้เป็นหัวข้อ แล้วออกไปยังมหาวิหารขอบวชบรรพชาอุปสมบทแล้วกระทำมาติกา
ให้ทั้งสองคล่องแคล่ว พาภิกษุ ๓0 รูป ไปยังลาน ณ ตำบลควปรปาลี กระทำสมณธรรม เมื่อเท้าเดินไม่ไหว
ก็คุกเข่าเดินจงกรม ในคืนนั้น พรานเนื้อผู้หนึ่งสำคัญว่าเนื้อ ก็พุ่งหอกออกไป
หอกก็แล่นถูกท่านถึงทะลุ ท่านก็ให้
เขาชักหอกออก เอาเกลียวหญ้าอุดปากแผลให้เขาจับตัวนั่งบนหลังแผ่นหิน ให้เขาเปิดโอกาส
เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา พยากรณ์ แก่ภิกษุทั้งหลายที่พากันมาโดยให้เสียงไอ
จาม เปล่งอุทานดังนี้ว่า
- ภาสิตํ พุทฺธเสฏฺฐสฺส สพฺพโลกคฺควาทิโน น ตุมฺหากมิทํ
รูปํ ตํ ชเหยฺยาถ ภิกฺขโว อนิจฺจา
วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข
- พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ที่สรรเสริญกันว่า เลิศทุกแหล่งหล้า
ทรงภาษิตไว้ว่า ดูก่อนภิษุทั้ง
หลาย รูปนี้มิใช่ของท่าน ท่านทั้งหลายพึงละรูปนั้นเสีย
- สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีเกิดและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เกิดแล้วก็ดับ ความสงบระงับแห่ง
สังขารเหล่านั้นเป็นสุขดังนี้
- มรรคนี้ย่อมเป็นไปเพื่อดับทุกข์เหมือนอย่างทุกข์ของพระติสสเถระเป็นต้นเพียงเท่านี้ก่อน
เรื่องโทมนัสของท้าวสักกะ
- ก็ท้าวสักกะ จอมเทพ ทรงเห็นบุพพนิมิต ๕ ประการ ของพระองค์ถูกมรณภัยคุกคาม
เกิดโทมนัส เข้าเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหา ท้าวเธอก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมด้วยเทวดาแปดหมื่นองค์ด้วย
อำนาจการวิสัชนาอุเบกขาปัญหา เรื่องการอุบัติของท้าวเธอจึงกลับเป็นปกติอีก
เรื่องโทมนัสของสุพรหมเทพบุตร
- แม้สุพรหมเทพบุตร อันนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ห้อมล้อม ก็เสวยสวรรคสมบัติ
ในจำพวกนางอัปสรพันหนึ่งนั้น
นางเทพอัปสรห้าร้อยมัวเก็บดอกไม้จากต้น ก็จุติไปเกิดในนรก สุพรหมเทพบุตรรำพึงว่าทำไม
เทพอัปสรเหล่านี้
จึงชักช้าอยู่ ก็รู้ว่าพวกนางไปเกิดในนรก จึงหันมาพิจารณาดูตัวเองว่า อายุเท่าไหร่แล้วหนอ
ก็รู้ว่าตนจะสิ้นอายุ
จะไปเกิดในนรกนั้นด้วย ก็หวาดกลัว เกิดโทมนัสอย่างยิ่ง เห็นว่า พระบรมศาสดาเท่านั้น
จะยังความโทมนัสของ
เรานี้ให้พินาศไป ไม่มีผู้อื่น แล้วก็พานางเทพอัปสรห้าร้อยที่เหลือเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหาว่า
- นิจฺจุตฺรสฺตมิทํ จิตฺตํ นิจฺจุพฺพิคฺคมิทํ มโน อนุปฺปนฺเนสุ
กิจฺเจสุ อโถ อุปฺปตฺติเตสุ จ สเจ
อตฺถิ อนุตฺรสฺตํ ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต
- จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ จิตใจนี้หวาดอยู่เป็นนิตย์
ทั้งในกิจที่เกิดแล้ว ถ้าหากว่าความไม่
หวาดสะดุ้งมีอยู่ ขอพระองค์ที่ถูกทูลถามแล้ว โปรดบอกความไม่หวาดสะดุ้งนั้น แก่ข้าพระองค์
ด้วยเถิด ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสบอก สุพรหมเทพบุตร ( ในสังยุตตนิกาย
สคาถวรรค ) ว่า
- นาญฺญตฺร โพชฺฌา ตปสา นาญฺญตฺร อินฺทฺริยสํวรา นาญฺญตฺร
สพฺพปฏินิสฺสคฺคา โสตฺถึ
ปสฺสามิ ปาณินํ
- นอกจากปัญญาเครื่องรู้ ตปะเครื่องเผาความชั่ว นอกจากความสำรวมอินทรีย์
นอกจากความ
สละคืนทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็มองไม่เห็นความสวัสดีสัตว์ทั้งหลายดังนี้
- ในที่สุดเทศนา สุพรหมเทพบุตรก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
พร้อมด้วยนางเทพอัปสรห้าร้อยทำสมบัติ
นั้นให้ถาวรแล้วกลับไปยังเทวโลก
- มรรคนี้อันบุคคลเจริญแล้ว บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเป็นไปเพื่อดับโทมนัส
เหมือนอย่างโทมนัสของ
ท้าวสักกะเป็นต้น ดังกล่าวมานี้
- มรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นอริยะ เรียกว่า ญายธรรม ในข้อที่ว่า
ญายสฺส อธิคมาย เพื่อบรรลุญายธรรม
ท่านอธิบายว่า เพื่อบรรลุ คือเพื่อถึงญายธรรมนั้น จริงอยู่ มรรคคือสติปัฏฐานที่เป็น
โลกิยะเบื้องต้นนี้ อันบุคคล
เจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ บรรลุมรรคที่เป็นโลกุตตร เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เพื่อ
บรรลุญายธรรม
- ข้อว่า เพื่อให้แจ้งพระนิพพาน ท่านอธิบายว่า เพื่อทำให้แจ้ง
คือเพื่อประจักษ์ด้วยตนเอง ซึ่ง
อมตธรรมที่ได้ชื่อว่านิพพาน เพราะเว้นจากตัณหาเครื่องร้อยรัด จริงอยู่ มรรคนี้
อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อม
ยังการทำให้แจ้งพระนิพพานให้สำเร็จไปตามลำดับ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เพื่อทำให้
แจ้งพระนิพพานดังนี้
- ในพระสูตรนั้น ถึงเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลายแล้ว
ข้อที่ว่า เพื่อ
ก้าวล่วงโสกะ และปริเทวะเป็นต้น ก็เป็นอันสำเร็จใจความได้ก็จริง แต่ยกเว้นผู้ฉลาดรู้ข้อยุติของคำสั่งสอน
เสียแล้ว ก็ไม่ปรากฏแก่คนอื่นๆ ได้ แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หาได้ทรงทำให้ชนผู้ฉลาดรู้ข้อยุติของคำสั่งสอน
เสียก่อนแล้ว ทรงแสดงธรรมในภายหลังไม่ หากแต่ทรงยังชนทั้งหลายให้รู้อรรถะนั้นๆ
ด้วยสูตรนั้นๆ เลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น ในที่นี้ เอกายนมรรค จะยังอรรถใดๆ ให้สำเร็จได้ ก็ทรงแสดงอรรถนั้นๆ
ให้ปรากฏจึงตรัสข้อว่า
เพื่อก้าวล่วง โสกะ และปริเทวะ เป็นต้น หรืออีกนัยหนึ่ง ความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย
ย่อมเป็นไปด้วย
เอกายมรรค ความหมดจดนั้น ย่อมมีได้ด้วยความก้าวล่วงโสกะ และปริเทวะ ความก้าวล่วงโสกะ
และปริเทวะ
ย่อมมีได้ด้วยความดับทุกข์ และโทมนัส ความดับทุกข์และโทมนัสย่อมมีได้ด้วยการบรรลุญายธรรม
การบรรลุ
ญายธรรมย่อมมีได้ด้วยการทำให้แจ้งพระนิพพาน เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงลำดับการอันนี้
จึงตรัสว่า เพื่อ
ความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย แล้วตรัส ข้อว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะเป็นต้น
- อีกนัยหนึ่ง คำที่กล่าวนี้เป็นการพรรณนาคุณของเอกายมรรค
เปรียบเหมือนอย่างว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสคุณด้วยบททั้ง ๘ ด้วย ฉฉักกเทศนา ( ฉฉักกสูตร มัชฌิมนิกายอุปริปัณณาสก์
) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงแก่ท่านทั้งหลาย ถึงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
จักประกาศพรหมจรรย์อัน
บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงพร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ คือ ฉฉักกธรรม ๖ ดังนี้ฉันใด
และตรัสคุณด้วยบททั้ง ๙ ด้วย
อริยวังสเทศนา ( อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยวงศ์
๔ เหล่านี้รู้กันว่า เลิศมีมานาน
เป็นวงศ์พระอริยะ เป็นของเก่า ในอดีตก็ไม่มีใครรังเกียจไม่เคยรังเกียจ ในปัจจุบันก็ไม่รังเกียจ
ในอนาคตก็ไม่
รังเกียจกัน สมณพราหมณ์ผู้รู้ก็ไม่เกลียดแล้วดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสคุณของ
เอกายนมรรค
แม้อันนี้ด้วยบททั้ง ๗ มีว่า เพื่อให้เกิดอุตสาหะ แก่ภิกษุเหล่านั้น จริงอยู่
ภิกษุเหล่านั้นฟังการตรัสคุณ ( ของ
เอกายมรรค ) รู้ว่า มรรคนี้นำไปเสียซึ่งอุปัททวะ ๔ คือ โสกะ อันเป็นเครื่องเผาใจ
ปริเทวะ อันเป็นการพิไรรำพัน
ทุกขะ อันเป็นความไม่สำราญทางกาย โทมนัส อันเป็นความไม่สำราญทางใจ นำมาซึ่งคุณวิเศษ
๓ คือ วิสุทธิ
ญายธรรม พระนิพพาน ดังนี้แล้วก็เกิดอุตสาหะ สำคัญ เทศนานี้ว่า ควรเล่า ควรเรียน
ควรทรงจำ ควรบอกกล่าว
และจักสำคัญมรรคอันนี้ว่า ควรเจริญ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคุณ
( ของเอกายนมรรค ) เพื่อให้
เกิดอุตสาหะ แก่ภิกษุเหล่านั้น เหมือนพ่อค้ากัมพลเป็นต้น โฆษณาคุณภาพของผ้ากัมพล
เป็นต้นฉะนั้น
- เหมือนอย่างว่า แม้ว่าพ่อค้าผ้ากัมพลอันมีค่านับแสน โฆษณาว่าโปรดซื้อผ้ากัมพล
มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่ทราบ
ก่อนดอกว่า ผมคนก็มี ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์เป็นต้นก็มี มันมีกลิ่นสาบสัมผัสหยาบ
แต่ก็เรียกว่า ผ้ากัมพล
เหมือนกัน ต่อเมื่อใดพ่อค้านั้นโฆษณาว่าผ้ากัมพลสีแดงทำในแคว้นคันธาระละเอียดสดใส
สัมผัสละมุน เมื่อนั้น
ถ้ามีเงินพอก็จะซื้อเอา มีไม่พอ ก็อยากจะชม ฉันใด แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
หนทางนี้เป็นทางเดียวดังนี้ ก็ยังไม่ปรากฏก่อนดอกว่า หนทางไหน ด้วยว่าแม้หนทางที่ไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์
มีประการต่างๆ ก็เรียกกันว่า หนทางเหมือนกัน แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เพื่อความหมดจดของ
สัตว์ทั้งหลายดังนี้ เป็นต้น ภิกษุทั้งหลายก็ทราบว่าหนทางนี้นำเสียซึ่ง อุปัททวะ
๔ นำมาซึ่งคุณวิเศษ ๓ แล้วก็
เกิดอุตสาหะ สำคัญเทศนานี้ว่า ควรเล่า ควรเรียน ควรทรงจำ ควรบอกกล่าว และจักสำคัญมรรคอันนี้ว่า
ควรเจริญ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสคุณ ( ของเอกายนมรรค ) จึงตรัสว่าเพื่อความหมดจด
ของสัตว์ทั้งหลายเป็นต้น
- อนึ่ง ข้ออุปมาว่าด้วยพ่อค้าผ้ากัมพลสีเหลือง อันมีค่าแสน
นำมาเปรียบฉันใด ในข้อนี้ก็ควรนำข้ออุปมา
ว่าด้วยพ่อค้า ทองชมพูนุทสีสุก แก้วมณีกรองน้ำให้ใส แก้วมุกดาที่บริสุทธิ์ ผ้าขนสัตว์
และแก้วประพาฬเป็นต้น
เอามาเปรียบฉันนั้น
- คำว่า ยทิทํ เป็นศัพท์นิบาต ศัพท์นิบาตนั้น มีความดังนี้ว่า
เหล่านี้ใด ( เย อิเม ) คำว่า จตฺตาโร ( ๔ )
เป็นศัพท์กำหนดจำนวน ด้วยจำนวนนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการกำหนดจำนวนสติปัฏฐานว่า
ไม่ต่ำกว่านั้น ไม่สูงกว่านั้น คำว่า สติปัฏฐานทั้งหลาย ได้แก่ สติปัฏฐาน
๓ คืออารมณ์แห่งสติก็มี ความที่พระ
บรมศาสดาทรงล่วงเลยความยินร้ายและยินดีในพระสาวกทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติ ๓ อย่างก็มี
ตัวสติก็มี อารมณ์แห่งสติ
เรียกว่า สติปัฏฐาน ได้ในบาลีเป็นต้น ( สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดง
ความเกิดและความดับไปแห่ง สติปัฏฐาน ๔ ท่านทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความเกิดแห่งกายเป็น
อย่างไร ความเกิดแห่งกาย ก็เพราะอาหารก่อให้เกิดดังนี้ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
สติปัฏฐาน ได้ในบาลี ( ขุททกนิกาย
ปฏิสัมภิทามรรค ) เป็นต้นว่า กายเป็นที่ปรากฏมิใช่สติ สติเป็นที่ปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย
คำนั้นมีความดังนี้
ชื่อว่า ปัฏฐาน เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นที่ตั้งในที่นี้ ถามว่า อะไรตั้ง ตอบว่า
สติ ที่ตั้งอยู่แห่งสติ ชื่อว่า
สติปัฏฐาน อีกนัยหนึ่ง ความตั้งเป็นประธาน เหตุนั้นจึงชื่อว่า ปัฏฐาน ความตั้งแห่งสติ
ชื่อว่า สติปัฏฐานเหมือน
อย่างการยืนของช้าง การยืนของม้าเป็นต้น ความที่พระบรมศาสดาทรงล่วงเลยความยินร้าย
และความยินดี
ในพระสาวกทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติ ๓ อย่าง เรียกว่า สติปัฏฐาน ได้ในบาลี ( สฬายตน
วิภังสูตร มัชฌิมนิกาย
อุปริปัณณาสก์ ) นี้ว่า สติปัฏฐาน ๓ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระอริยะ ทรงเสพสติปัฏฐานไรเล่า
จึงเป็นพระ
ศาสดา สมควรสอนพระสาวก ดังนี้ คำนั้นมีความดังนี้ ชื่อว่าปัฏฐาน เพราะเป็นธรรมที่ควรตั้งไว้ด้วยอะไร
ตอบว่า ด้วยสติ การตั้งไว้ด้วยสติชื่อว่า สติปัฏฐาน ก็สติเท่านั้น เรียกว่า สติปัฏฐาน
ได้ในบาลี ( สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค ) เป็นต้นว่าสติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัมโพชฌงค์
๗ ให้บริบูรณ์
ดังนี้ คำนั้นมีความดังนี้ ธรรมชาติใดตั้งอยู่ทั่ว อธิบายว่า เข้าไปตั้งมั่น
คือแล่นเป็นไป เหตุนั้นธรรมชาตินั้น
ชื่อว่าปัฏฐาน สตินั้นเอง ชื่อว่าสติปัฏฐาน อีกนัยหนึ่ง ที่ชื่อว่าสติ เพราะอรรถว่าระลึกได้
ที่ชื่อว่าปัฏฐาน
เพราะอรรถว่า เข้าไปตั้งไว้ เพราะฉะนั้น สตินั้นด้วย ปัฏฐานด้วย เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่า สติปัฏฐาน
ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาสติปัฏฐานอันนี้ ถามว่า หากเป็นเช่นนั้น
เหตุไร คำว่าสติปัฏฐาน
ทั้งหลายจึงเป็นคำพหูพจน์ ตอบว่า เพราะต้องมีสติมาก สติเหล่านั้นมีมาก เพราะต่างแห่งอารมณ์
ถามว่า
แต่เหตุไร คำว่ามรรค จึงเป็นเอกวจนะ ตอบว่า เพราะมีทางเดียว ด้วยอรรถว่า เป็นมรรค
เป็นความจริง
สติเหล่านั้นแม้มี ๔ ก็นับว่าทางเดียว ด้วยอรรถว่าเป็นมรรค สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ถามว่า ในคำว่ามรรค
ที่ชื่อว่ามรรค เพราะอรรถว่าอะไร ตอบว่า เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องไปสู่พระนิพพานด้วย
เพราะอรรถว่า
ผู้ต้องการพระนิพพานจะพึงค้นหาด้วย สติทั้ง ๔ นั้น ทำให้กิจสำเร็จ ในอารมณ์ทั้งหลาย
มีกายเป็นต้นจึง
ถึงพระนิพพานในภายหลัง แต่ผู้ต้องการพระนิพพานทั้งหลาย จำต้องดำเนินไปตั้งแต่ต้นมา
เพราะฉะนั้น
สติทั้ง ๔ จึงเรียกว่า หนทางเดียว เทศนาพร้อมด้วยอนุสนธิ ย่อมมีด้วยการอนุสนธิ
คำว่าสติ เหมือนดัง
ในบาลีทั้งหลาย ( สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) เป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงมรรค เป็น
เครื่องกำจัดกองทัพมาร เธอจงฟัง มรรคนั้นเป็นเครื่องกำจัดกองทัพมารอย่างไร คือสัมโพชฌงค์
๗ ดังนี้
คำว่ามรรคเป็นเครื่องกำจัดกองทัพมาร และคำว่าสัมโพชฌงค์ ๗ โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน
ต่างกันแต่
พยัญชนะเท่านั้น ก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นเอกวจนะ ก็เพราะเป็นทางเดียว
ด้วยอรรถว่า
เป็นมรรค เป็นพหุวจนะ ก็เพราะมีสติมาก โดยความต่างแห่งอารมณ์
- ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐานว่ามี
๔ ไม่หย่อนไม่ยิ่ง ตอบว่า ก็เพราะจะทรง
ให้เป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่เวไนยสัตว์แท้จริง ในจำพวกเวไนยสัตว์ที่เป็นตัณหาจริต
ทิฏฐิจริต ผู้เป็นสมถยานิก
( ผู้มีสมถะเป็นยาน ) และวิปัสสนายานิก ( ผู้มีวิปัสสนาเป็นยาน ) ที่เป็นไปโดยส่วนทั้งสอง
คือ ปัญญาอ่อน
และปัญญากล้า กายานุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์หยาบเป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีตัณหาจริต
มีปัญญาอ่อน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์ละเอียด เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีตัณหาจริต
มีปัญญากล้า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่มีอารมณ์ไม่แยกออกจากกันมากนัก เป็นทางหมดจด
สำหรับเวไนยสัตว์
ผู้มีทิฏฐิจริต มีปัญญาอ่อน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่มีอารมณ์แยกออกมาก เป็นทางหมดจด
สำหรับเวไนยสัตว์
ผู้มีทิฏฐิจริต มีปัญญกล้า อนึ่ง สติปัฏฐานข้อ ๑ ที่มีนิมิตอันจะพึงบรรลุได้โดยไม่ยาก
เป็นทางหมดจด สำหรับ
เวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญาอ่อน สติปัฏฐานข้อที่ ๒ เพราะไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์อย่างหยาบ
จึงเป็น
ทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญากล้า สติปัฏฐานข้อที่ ๓ มีอารมณ์ที่แยกออกไม่มากนัก
เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิก มีปัญญาอ่อน สติปัฏฐาน ข้อที่
๔ มีอารมณ์ที่แยก
ออกมาก เป็นทางหมดจดสำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิกมีปัญญากล้า เพราะเหตุดังนั้น
จึงกล่าวว่า
สติปัฏฐานมี ๔ เท่านั้น ไม่หย่อน ไม่ยิ่ง อีกอย่างหนึ่ง ที่ตรัสว่า สติปัฏฐานมี
๔ ก็เพื่อละเสียซึ่งวิปัลลาสความ
สำคัญผิดว่างาม สุข เที่ยง และเป็นตัวตน แท้จริง กายเป็นอสุภะ ไม่งาม แต่สัตว์ทั้งหลายก็สำคัญว่างาม
ในกายนั้น ด้วยทรงแสดงความไม่งามในกายแก่สัตว์เหล่านั้น จึงตรัสสติปัฏฐานข้อที่
๑ เพื่อละวิปัลลาส
นั้นเสีย และในเวทนาเป็นต้น ที่สัตว์ยึดถือว่าสุข เที่ยง เป็นตัวตน เวทนาก็เป็นทุกข์
จิตไม่เที่ยง ธรรมทั้ง
หลายเป็นอนัตตา แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังสำคัญว่า สุข เที่ยง เป็นตัวตน ในเวทนา
จิต ธรรมนั้น ด้วยทรงแสดงความเป็นทุกข์เป็นต้น ในเวทนา จิต ธรรม แก่สัตว์เหล่านั้น
จึงตรัสสติปัฏฐาน ๓ ที่เหลือ เพื่อละวิปัลลาสเหล่านั้นเสีย เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า
ที่ตรัสว่า สติปัฏฐาน ๔
ไม่หย่อนไม่ยิ่ง ก็เพื่อละความสำคัญผิดว่า งาม สุข เที่ยง และตัวตน เสีย ดังที่กล่าวมานี้
มิใช่เพื่อละวิปัลลาส
อย่างเดียวเท่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ที่ตรัสสติปัฏฐาน ๔ ก็เพื่อละ โอฆะ โยคะ
อาสวะ คัณฐะ อุปาทาน และ
อคติ อย่างละ ๔ ด้วย เพื่อกำหนดรู้ อาหาร ๔ อย่างด้วย พึงทราบที่มาในปกรณ์ (
บาลี ) เท่านี้ก่อน
- ส่วนในอรรถกถาท่านกล่าวว่า สติปัฏฐาน มีอันเดียวเท่านั้น
โดยเป็นความระลึกและโดยเป็นที่ประชุมลง
เป็นอันเดียวกัน มี ๔ ด้วยอำนาจอารมณ์ ( ที่ระลึก ) ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งกายานุปัสสนา
เจริญ กายานุปัสสนา
๑๔ วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญกายานุปัสสนา
ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งเวทนานุปัสสนา เจริญ เวทนานุปัสสนา ๙ วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั่นเอง
ด้วยอริยมรรคที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญเวทนานุปัสสนา ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งจิตตานุปัสสนา
เจริญ
จิตตานุปัสสนา ๑๖ วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั่นเองด้วยอริยมรรคที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญ
จิตตานุปัสสนา ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งธัมมานุปัสสนา เจริญ ธัมมานุปัสสนา ๕ วิธี
ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอัน
เดียวกันนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญธัมมานุปัสสนา บัณฑิตพึงทราบว่า
ที่ท่านกล่าว
ว่า สติปัฏฐานมี อันเดียวเท่านั้น ก็ด้วยอำนาจความระลึกได้ อย่างหนึ่ง ด้วยอานุภาพประชุมลงสู่ความเป็นอันเดียว
กันหนึ่ง ที่กล่าวว่ามี ๔ ก็โดยจัดตามอารมณ์ ดังกล่าวมาฉะนี้
- คำว่า มี ๔ เป็นอย่างไร เป็นคำถามด้วยหมายจะตอบ
คำว่า ในธรรมวินัยนี้ คือ ในพระศาสนานี้ คำว่า
ภิกฺขเว นั้น เป็นคำเรียกบุคคลผู้รับธรรม คำว่า ภิกษุนั้น เป็นคำแสดงถึงบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยข้อปฏิบัติ
เทวดา มนุษย์ แม้เหล่าอื่น ก็ดำเนินการปฏิบัติให้พร้อมเหมือนกัน แต่ที่ตรัสว่า
ภิกษุ ก็เพราะเป็นผู้ประเสริฐ
อย่างหนึ่ง เพราะทรงแสดงภาวะของภิกษุด้วยการปฏิบัติอย่างหนึ่ง เป็นความจริง ในบุคคลทั้งหลาย
ผู้รับคำสั่ง
สอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุเป็นผู้ประเสริฐ เพราะเป็นประหนึ่งภาชนะรองรับคำสั่งสอนมีประการต่างๆ
เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ภิกษุ เพราะเป็นผู้ประเสริฐ แต่เมื่อทรงถือเอาภิกษุแล้วคนทั้งหลายที่เหลือก็เป็น
อันทรงถือเอาด้วย เหมือนอย่างการเสด็จพระราชดำเนิน เป็นต้น เหล่าราชบริพารนอกนั้น
ก็เป็นอันท่าน
รวมไว้ด้วยศัพท์ว่า ราช ผู้ใดปฏิบัติข้อปฏิบัตินี้ ผู้นั้นย่อมชื่อว่า ภิกษุ
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ภิกษุ ก็เพราะจะทรงแสดงภาวะของภิกษุด้วยการปฏิบัติ เป็นความจริง ผู้ปฏิบัติจะเป็นเทวดา
หรือมนุษย์ก็ตาม ย่อมนับได้ว่า เป็นภิกษุทั้งนั้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ ( ในธรรมบท
ขุททกนิกาย ) ว่า
- อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี
สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ โส
พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ
- หากว่าบุคคลมีธรรมประดับแล้ว เป็นผู้สงบแล้ว ฝึกแล้ว
เป็นคนแน่ เป็นพรหมจารี
เลิกอาชญากรรม ในสัตว์ทั้งปวง พึงประพฤติสม่ำเสมออยู่ไซร้ ผู้นั้นก็ชื่อว่าพราหมณ์
ผู้นั้นก็ชื่อว่า สมณะ ผู้นั้นก็ ชื่อว่า ภิกษุ ดังนี้
- คำว่า ในกาย คือ ในรูปกาย จริงแล้ว รูปกายในที่นั้นท่านประสงค์เอาว่า
กาย เพราะอรรถว่า เป็นที่รวม
แห่งอวัยวะน้อยใหญ่ และธรรมทั้งหลายมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น เหมือนตัวของช้างตัวของรถเป็นต้น
ที่ชื่อว่ากาย เพราะอรรถว่าเป็นที่รวมฉันใด ที่ชื่อว่ากาย เพราะอรรถว่าเป็นแหล่งที่มาของสิ่งที่น่ารังเกียจ
ฉันนั้น จริงแล้วกายนั้น เป็นแหล่งที่มาของสิ่งที่น่ารังเกียจ คือน่าเกลียดอย่างยิ่ง
แม้เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่ากาย
คำว่าเป็นแหล่งที่มา คือเป็นถิ่นเกิด ใจความของคำในคำว่า เป็นแหล่งที่มานั้น
มีดังนี้ ธรรมชาติทั้งหลายมาแต่
กายนั้น เหตุนั้นกายนั้นจึงชื่อว่า เป็นแหล่งที่มา อะไรมา สิ่งอันน่าเกลียดทั้งหลายมีผม
ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
ย่อมมา ชื่อว่า อายะ เพราะเป็นแหล่งที่มาแห่งสิ่งน่าเกลียดทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้
คำว่า พิจารณาเห็นกาย
หมายความว่า มีปกติพิจารณาเห็นในกาย หรือพิจารณาเห็นกาย พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้จะตรัสว่า
ในกาย
แล้ว บัณฑิตพึงทราบว่าทรงกระทำศัพท์ว่ากาย ครั้งที่สองว่า พิจารณาเห็นกายอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อทรงแสดงการกำหนด
และการแยกออกจากก้อนเป็นต้น โดยไม่ปนกัน ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในกาย หรือพิจารณาเห็นจิตในกาย
หรือพิจารณาเห็นธรรมในกายหามิได้ ทีแท้พิจารณาเห็นกายในกายต่างหาก เพราะฉะนั้น
จึงเป็นอันทรง
แสดงการกำหนดไม่ปนกัน ด้วยทรงแสดงอาการ คือพิจารณาเห็นกายในวัตถุที่นับว่ากาย
มิใช่ พิจารณา
เห็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่พ้นจากอวัยวะน้อยใหญ่ในกายทั้งมิใช่พิจารณาเห็นเป็นหญิงหรือเป็นชาย ที่พ้น
จากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น จริงอยู่ในข้อนั้น กายแม้อันใด ที่นับว่าเป็นที่รวมของมหาภูตรูป
และ
อุปทายรูป มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น มิใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างหนึ่งที่พ้นจากมหาภูตรูป
และ
อุปาทายรูป ที่แท้พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมอวัยวะน้อยใหญ่ในกายแม้อันนั้นเหมือนพิจารณาเห็นส่วน
ประกอบของรถฉะนั้น พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมของ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
เหมือน
พิจารณาเห็นส่วนน้อยใหญ่ของพระนคร พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมของมหาภูตรูป และอุปาทายรูป
เหมือน
แยกใบและก้านของต้นกล้วย เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันทรงแสดง การแยกออกจากก้อน ด้วยทรงแสดงวัตถุที่นับ
ได้ว่ากาย โดยเป็นที่รวมเป็นโดยประการต่างๆ นั่นแล้ว ความจริง กายหรือชายหญิง
หรือธรรมไรๆ อื่นที่พ้นจากกายอันเป็นที่รวมดังกล่าวแล้ว หาปรากฏในกายนั้นไม่
แต่สัตว์ทั้งหลาย ก็ยึดมันผิดๆ โดยประการนั้นๆ ในกายที่สักว่าเป็นที่รวมแห่งธรรมดังกล่าวแล้วอยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
- ยํ ปสฺสติ น ตํ ทิฏฺฐํ ยํ ทิฏฺฐิ ตํ น ปสฺสติ อปสฺสํ
พชฺฌเต มูฬฺโห พชฺฌมาโน น มุจฺจติ
- บุคคลเห็นสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่ได้เห็น สิ่งใดเห็นแล้วก็ไม่เห็นสิ่งนั้น
เมื่อไม่เห็น ก็หลงติด
เมื่อติดก็ไม่หลุดพ้น ดังนี้
- ท่านกล่าวคำนี้ ก็เพื่อแสดงการแยกออกจากก้อนเป็นต้น ด้วยศัพท์ว่า
อาทิเป็นต้น ในคำนี้บัณฑิตพึงทราบ
ความดังนี้ ก็ภิกษุนี้ พิจารณาเห็นกายในกายนี้เท่านั้น ท่านอธิบายว่า มิใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างอื่น
คนทั้งหลายแลเห็นน้ำในพยับแดด แม้ที่ไม่มีน้ำฉันใด ภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้ซึ่งเป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์
ไม่ใช่ตัวตน ไม่สวยงาม ว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตน และสวยงามฉันนั้น
หามิได้ ที่แท้ พิจารณา
เห็นกาย ท่านอธิบายว่า พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมของอาการ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มิใช่ตัวตน และ
ไม่สวยงามต่างหาก
- อีกอย่างหนึ่ง ก็กายอันนี้ใด ที่ท่านกล่าวไว้ข้างหน้าว่า
มีลมอัสสาสะปัสสาสะ ( ลมหายใจเข้าออก ) เป็นต้น
มีกระดูกที่ป่นเป็นที่สุด ตามนัย พระบาลีเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไปป่าก็ดี
ฯลฯ
เธอมีสติหายใจเข้า ดังนี้ และกายอันใดที่ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรค ( ขุททกนิกาย
) ว่า ภิกษุบางรูปใน
ธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายคือดิน กายคือน้ำ กายคือไฟ กายคือลม กายคือผม กายคือขน
กายคือผิวหนัง
กายคือหนัง กายคือเนื้อ กายคือเลือด กายคือเอ็น กายคือกระดูก กายคือเยื่อในกระดูก
โดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง ดังนี้ บัณฑิตพึงทราบเนื้อความของกายนั้นทั้งหมด แม้อย่างนี้ว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย
โดยพิจารณาเห็นในกายอันนี้เท่านั้น
- อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความอย่างนี้ว่า พิจารณาเห็นกาย
ที่นับว่าเป็นที่รวมแห่งธรรมมีผม ขน เล็บ ฟัน
หนัง เป็นต้นในกาย โดยไม่พิจารณาเห็นส่วนใดส่วนหนึ่ง ที่พึงถือว่าเป็นเรา เป็นของเราในกาย
แต่พิจารณา
เห็นกายนั้นๆ เท่านั้นเป็นธรรมที่รวมแห่งธรรมต่างๆ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
- อนึ่ง พึงทราบความอย่างนี้ว่า พิจารณาเห็นกายในกาย แม้โดยพิจารณาเห็นกายที่นับว่าเป็นที่รวมแห่ง
อาการ มีลักษณะไม่เที่ยง เป็นต้น ทั้งหมดทีเดียว ซึ่งมีนัยที่มาในปฏิสัมภิทามรรค
ตามลำดับบาลี
เป็นต้นว่า พิจารณาเห็นในกายนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่โดยเป็นของเที่ยงดังนี้
จริงอย่างนั้น
ภิกษุผู้ปฏิบัติ ปฏิปทา คือพิจารณาเห็นกายในกายรูปนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายอันนี้โดยเป็นของไม่เที่ยง
ไม่ใช่เห็น
โดยเป็นของเที่ยง พิจารณาโดยความเป็นทุกข์ ไม่ใช่เห็นโดยเป็นสุข พิจาารณาเห็นโดยมิใช่ตัวตน
ไม่ใช่เห็นเป็น
ตัวตน ด้วยอำนาจ อนุปัสสนา ( การพิจารณาเห็น ) ๗ ประการ มีพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงเป็นต้น
ย่อมเบื่อ
หน่าย มิใช่ยินดี ย่อมคลายกำหนัด มิใช่กำหนัด ย่อมดับทุกข์ มิใช่ก่อทุกข์ ย่อมสละ
มิใช่ยึดถือ ภิกษุนั้นเมื่อ
พิจารณาเห็นกายอันนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาความสำคัญว่าเที่ยงเสียได้
เมื่อพิจารณา
โดยเห็นความเป็นทุกข์ ย่อมละสุขสัญญาความสำคัญว่าเป็นสุขเสียได้ เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นของ
ไม่ใช่ตัวตน ย่อมละอัตตสัญญาความสำคัญว่าเป็นตัวตนเสียได้ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละความยินดีเสียได้
เมื่อดับทุกข์ ย่อมละเหตุเกิดทุกข์เสียได้ เมื่อสละย่อมละความยึดถือเสียได้ ดังนี้
พึงทราบดังกล่าวมาฉะนี้
- คำว่า อยู่ คือเป็นไปอยู่ คำว่า มีความเพียร
มีอรรถว่า สภาพใด ย่อมแผดเผากิเลสทั้งหลายในภพทั้ง ๓
เหตุนั้นสภาพนั้น ชื่อว่าอาตาปะแผดเผากิเลส คำนี้เป็นชื่อของความเพียร ความเพียรของผู้นั้นมีอยู่
เหตุนั้น
ผู้นั้นชื่อว่า อาตาปีมีความเพียร คำว่า มีสัมปชัญญะ คือ ผู้ประกอบด้วยความรู้ที่นับว่า
สัมปชัญญะ คำว่า มีสติ
คือประกอบด้วยสติกำกับกาย ก็ภิกษุรูปนี้ กำหนดอารมณ์ ด้วยสติพิจารณาเห็นด้วยปัญญา
ธรรมดาว่าปัญญา
พิจารณาเห็นของผู้เว้นจากสติ ย่อมมีไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
( สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสติแล จำปรารถนาในที่ทั้งปวง
เพราะฉะนั้น ในที่นี่จึง
ตรัสว่า ย่อมพิจารณา เห็นกายในกาย อยู่ดังนี้ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นอันทรงอธิบาย
ด้วยประการ
ฉะนี้ อีกอย่างหนึ่ง ความท้อแท้ภายใน ย่อมทำอันตรายแก่ผู้ไม่มีความเพียร ผู้ไม่มีสัมปชัญญะ
ย่อมหลง
ลืมในการกำหนด อุบายในการงดเว้น สิ่งที่มิใช่อุบาย ผู้มีสติหลงลืมแล้ว ย่อมไม่สามารถในการกำหนดอุบาย
และในการสละสิ่งที่มิใช่อุบาย ด้วยเหตุนั้น กัมมัฏฐานนั้น ของภิกษุนั้น ย่อมไม่สำเร็จ
เพราะฉะนั้น กัมมัฏฐาน
นั้น ย่อมสำเร็จด้วยอานุภาพแห่งธรรมเหล่าใด เพื่อทรงแสดงธรรมเหล่านั้น พึงทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ทรงแสดงกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน และองค์แห่งสัมปโยคะ
บัดนี้เพื่อ
จะทรงแสดงองค์แห่งการละ จึงตรัสว่า นำออกเสียซึ่งอภิชฌา และ โทมนัสในโลก
- บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า นำออกเสีย หมายความว่า
นำออกเสียด้วยการนำออกชั่วขณะหรือด้วยการนำ
ออกด้วยการข่มไว้ คำว่า ในโลกก็คือ ในกายอันนั้นแหละ จริงอยู่ กายในที่นี้ ทรงหมายถึงโลก
เพราะอรรถ
ว่าชำรุดทรุดโทรม อภิชฌา และโทมนัส มิใช่พระโยคาวจรนั้นละได้ในอารมณ์ เพียงกายเท่านั้น
แม้ในเวทนา
เป็นต้น ก็ละได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าววไว้ในวิภังค์ ( สติปัฏฐานวิภังค์
) ว่า อุปาทานขันธ์ ๕
ก็ชื่อว่าโลก คำนั้นท่านกล่าวตามนัยแห่งการขยายความ เพราะธรรมเหล่านั้น นับได้ว่าเป็นโลก
แต่ท่าน
กล่าวคำอันใดไว้ว่า โลกเป็นอย่างไร โลกก็คือกายอันนั้นแหละ ความในคำนั้นมีดังนี้แล
พึงเห็นการเชื่อม
ความดังนี้ว่า นำออกเสียซึ่งอภิชฌา และโทมนัสในโลกนั้น ก็เพราะในที่นี้ กามฉันทะรวมเข้ากับศัพท์ว่า
อภิชฌา พยาบาทรวมเข้ากับศัพท์ว่าโทมนัส ฉะนั้น จึงควรทราบว่า ทรงอธิบาย การละนิวรณ์ด้วยการแสดง
ธรรมอันเป็นคู่ที่มีกำลังนับเนื่องในนิวรณ์ แต่โดยพิเศษ ในที่นี้ ตรัสการละความยินดีที่มีกายสมบัติเป็นมูลด้วย
การกำจัดอภิชฌา ตรัสการละความยินร้ายที่มีกายวิบัติเป็นมูล ด้วยการกำจัดโทมนัส
ตรัสการละความยินดี
ยิ่งในกาย ด้วยการกำจัดอภิชฌา ตรัสการละความไม่ยินดียิ่งในการเจริญกายานุปัสสนา
ด้วยการกำจัดโทมนัส
ตรัสการละกายของผู้ใส่ซึ่งภาวะว่างามเป็นสุข เป็นต้น ที่ไม่มีจริงในกาย ด้วยการกำจัดอภิชฌา
และตรัสการละ
การเอาออกไปซึ่งภาวะที่ไม่งามและเป็นทุกข์เป็นต้น ที่มีอยู่จริงในกาย ด้วยการกำจัดโทมนัส
ด้วยพระดำรัสนั้น
เป็นอันทรงแสดงอานุภาพของความเพียร และความเป็นผู้สามารถในการประกอบความเพียรของพระโยคาวจร
แท้จริงอานุภาพของความเพียรนั้นก็คือ เป็นผู้หลุดพ้นจากความยินดียินร้าย ครอบงำความไม่ยินดี
และครอบงำ
ความยินดี และเว้นจากใส่สิ่งที่ไม่จริง และเว้นนำออกซึ่งสิ่งที่มีจริง ก็พระโยคาวจรนั้นเป็นผู้หลุดพ้นจากความยินดี
ยินร้าย เป็นผู้ครอบงำความไม่ยินดีและความยินดี ไม่ใส่สิ่งที่ไม่มีจริง ไม่นำออกสิ่งที่มีจริง
จึงชื่อว่า
เป็นผู้สามารถในการประกอบความเพียรด้วยประการฉะนั้น
- อีกนัยหนึ่ง ตรัสกัมมัฏฐานด้วย อนุปัสสนา ในคำว่า กาเย
กายานุปสฺสี พิจารณาเห็นกายในกาย ตรัสการ
บริหารกายของพระโยคาวจรบำเพ็ญกัมมัฏฐาน ด้วยวิหารธรรมที่กล่าวไว้แล้ว ในคำนี้ว่า
วิหรติ อยู่ ก็ในคำ
เป็นต้นว่า อาตาปี มีความเพียร พึงทราบว่า ตรัสความเพียรชอบ ด้วยอาตาปะ
ความเพียรเครื่องเผา
กิเลส ตรัสกัมมัฏฐานที่ให้สำเร็จประโยชน์ทั่วๆ ไป หรืออุบาย เครื่องบริหารกัมมัฏฐาน
ด้วยสติสัมปชัญญะ
หรือตรัส สมถะ ที่ได้มาด้วยอำนาจกายานุปัสสนา ตรัสวิปัสสนาด้วยสัมปชัญญะ ตรัสผลแห่งภาวนาด้วย
การกำจัดซึ่งอภิชฌา และโทมนัสฉะนี้
บาลีวิภังค์
- ส่วนในบาลีวิภังค์ กล่าวความของบทเหล่านั้น ไว้อย่างนี้ว่า
บทว่า อนุปสฺสี ความว่า อนุปัสสนาในคำนั้น
เป็นอย่างไร ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ฯลฯ ความเห็นชอบ นี้เรียกว่าอนุปัสสนา บุคคลได้ประกอบแล้ว
ประกอบ
พร้อมแล้ว เข้าถึงแล้ว เข้าถึงพร้อมแล้ว มาตามพร้อมแล้ว ด้วยอนุปัสสนานี้ เหตุนั้น
บุคคลนั้นจึงเรียกว่า
อนุปสฺสี บทว่า วิหรติ แปลว่า เป็นอยู่ เป็นไปอยู่ รักษาอยู่ ตำเนินไปอยู่
ให้อัตตภาพดำเนินไปอยู่ เที่ยวไปอยู่
เหตุนั้น จึงเรียกว่า วิหรติ บทว่า อาตาปี ผู้มีความเพียร ความว่าอาตาปะ
ความเพียรในคำนั้นเป็นอย่างไร
การปรารภความเพียรเป็นไปทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะใด นี้เรียกว่า อาตาปะ บุคคลผู้ประกอบด้วยอาตาปะ
นี้ เหตุนั้นบุคคลนั้น จึงเรียกว่าอาตาปี บทว่า สมฺปชาโน ความว่า สัมปชัญญะ
ในคำนั้นอย่างไร ความรอบรู้
ความรู้ทั่ว ฯลฯ ความเห็นชอบ นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ บุคคลใดประกอบแล้ว ฯลฯ มาตามพร้อมแล้ว
ด้วย
สัมปชัญญะนี้ เหตุนั้นบุคคลนั้น จึงเรียกว่า สมฺปชาโน บทว่า สติมา
ความว่า สติในคำนั้นเป็นอย่างไร ความ
ระลึกได้ ความระลึกถึง ฯลฯ มาตามพร้อมด้วยสตินี้ เหตุนั้น บุคคลนั้นจึงเรียกว่าสติมา
ข้อว่า วิเนยฺย โลเก
อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ความว่า โลกในคำนั้นเป็นอย่างไร กายนั้นแล ชื่อว่าโลก อภิชฌาในคำนั้นเป็นอย่างไร
ความ
กำหนัด ความกำหนัดนัก ความดีใจ ความยินดี ความเพลิดเพลิน ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน
ความกำหนัดแห่งจิต นี้เรียกว่าอภิชฌา โทมนัสในคำนั้นเป็นอย่างไร ความไม่สำราญทางใจ
ทุกข์ทางใจ ฯลฯ
เวทนาที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแก่สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่า โทมนัส อภิชฌา
และโทมนัสนี้ เป็นอันพระโยคาวจร
กำจัดเสียแล้ว นำออกไปแล้ว สงบแล้ว ให้สงบแล้ว ให้ระงับแล้ว ให้ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว
ให้ถึงความสาบศูนย์
แล้ว ให้ถึงความไม่มีแล้ว ให้ถึงความย่อยยับแล้ว ให้เหือดแห้งแล้ว ให้แห้งผากแล้ว
ทำให้ถึงที่สุดแล้ว
เหตุนั้น จึงตรัสว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌา โทมนสฺสํ ดังนี้ นัยที่มาในอรรถกถานี้
กับบาลีวิภังค์นั้น บัณฑิต
พึงทราบได้โดยการเทียบกัน
- พรรณนาความแห่ง อุทเทสที่ว่าด้วย กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
มีเพียงเท่านี้ก่อน
อุทเทสวารแห่งเวทนาจิตตธัมมานุปัสสนา
- บัดนี้ จะวินิจฉัย ในคำว่า ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย
จิตในจิต ธรรมในธรรมทั้งหลาย
อยู่ ฯลฯ กำจัดอภิชฌา และโทมนัส ในโลก ดังนี้ ประโยชน์ในอันจะกล่าวซ้ำเวทนาเป็นต้น
ในคำซึ่งมีอาทิอย่าง
นี้ว่า เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย พึงทราบโดยนัยที่กล่าวมาแล้วใน
กายานุปัสสนานั่นแล อนึ่ง ในข้อที่ว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย พิจารณาเห็นจิตในจิต
พิจารณา
เห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ เวทนาได้แก่เวทนา ๓ ก็เวทนา ๓ นั้น
เป็นโลกิยะอย่างเดียว แม้จิต
ก็เป็นโลกิยะ ธรรมทั้งหลายก็เป็นโลกิยะเหมือนกัน การจำแนกเวทนาจิตธรรมนั้น จักปรากฏในนิทเทสวาร
ส่วนในอุทเทสวารนี้ภิกษุผู้พิจารณาเวทนา ๓ นั้น โดยประการที่ตนพึงพิจารณาเห็นก็พึงทราบว่าเป็นผู้พิจารณา
เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย แม้ในจิต และธรรมก็นัยนี้เมือนกัน
- ถามว่า จะพึงพิจารณาเห็นเวทนาอย่างไร ตอบว่า พึงพิจารณาเห็นสุขเวทนา
โดยความเป็นทุกข์ ( สภาพที่
ทนอยู่ไม่ได้ตลอดไป ) เห็นทุกข์เวทนาโดยเป็นดุจลูกศร เห็นอทุกขมสุขเวทนา ( อุเบกขาเวทนา
) โดยความเป็น
ของไม่เที่ยง ดังที่ตรัสไว้ว่า
- โย สุขํ ทุกฺขโต อทฺท ทุกฺขมทฺทกฺขิ สลฺลโต อทุกฺขมสุขํ
สนฺตํ อทฺทกฺขิ นํ อนิจฺจโต ส เว
สมฺมทฺทโส ภิกฺขุ อุปสนฺโต จริสฺสติ
- ภิกษุใดเห็นสุขเวทนาโดยความเป็นทุกข์ เห็นทุกขเวทนาโดยความเป็นดังลูกศร
เห็น
อทุกขมสุขเวทนาที่มีอยู่โดยความเป็นของไม่เที่ยง ภิกษุนั้นแล เป็นผู้เห็นชอบ
จักเป็นผู้สงบ
เที่ยวไป ดังนี้
- อนึ่ง พระโยคาวจรพึงพิจารณาเห็นเวทนาทั้งหมดนั้นแหละ
โดยความเป็นทุกข์ด้วย สมจริง ดังที่ตรัสไว้
ดังนี้ว่า เรากล่าวเวทนาทุกอย่างบรรดามีอยู่ในทุกข์ทั้งนั้น พึงพิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นสุข
เป็นทุกข์
( เปลี่ยนเวียนกันไป ) ดังที่ตรัสไว้ว่า สุขเวทนา เป็นสุข เมื่อเกิดขึ้น เมื่อตั้งอยู่เป็นทุกข์เมื่อแปรไป
ดังนี้
คำทั้งหมด ผู้ศึกษาพึงเข้าใจให้กว้างขวาง
- อนึ่ง พระโยคาวจร พึงพิจารณาเห็น แม้ด้วยอำนาจอนุปัสสนา
๗ มี อนิจจานุปัสสนา เป็นต้น ข้อควร
กล่าวนี้ยังเหลือ จักปรากฏในนิทเทสวารแล
- ก่อนอื่น บรรดาจิตและธรรม จิตอันพระโยคาวจร พึงพิจารณาเห็นด้วยอำนาจประเภทแห่งจิตอันต่างๆ
กัน มี อารัมมณจิต อธิปติจิต สหาชาตจิต ภูมิจิต กัมมจิต วิปากจิตและกิริยาจิต
เป็นต้น และด้วยอำนาจ
ประเภทแห่งจิต มีจิตมีราคะเป็นต้น ซึ่งมาในนิทเทสวารแห่งอนุปัสสนา มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น
ธรรมอัน
พระโยคาวจร พึงพิจารณาเห็นด้วยอำนาจแห่งลักษณะเฉพาะตน( วิเสสลักษณะ )และลักษณะทั่วไป
( สามัญลักษณะ )และแห่งธรรมที่เป็นสภาพว่างเปล่า และด้วยอำนาจประเภทแห่งธรรมมีธรรมอันสงบเป็นต้น
ซึ่งมาในนิทเทสวาร แห่งอนุปัสสนา ๗ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวมาแล้วทั้งนั้น
- อภิชฌา และโทมนัส ในโลกคือ กาย อันพระโยควจรใดละได้แล้ว
ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ แม้อภิชฌา
และโทมนัสในโลก คือเวทนาเป็นต้น ก็เป็นอันพระโยคาวจรนั้นละได้แล้วเหมือนกัน ก็จริงอยู่
ถึงดังนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังตรัสการละอภิชฌา และโทมนัสไว้ในสติปัฏฐานทุกข้อ ด้วยอำนาจแห่งบุคคลต่างๆ
กัน
และด้วยอำนาจแห่งสติปัฏฐานภาวนา อันเป็นไปในขณะจิตต่างกัน อีกนัยหนึ่ง เพราะอภิชฌา
และโทมนัส
ที่ละได้ในสติปัฏฐาน ข้อหนึ่งถึงในสติปัฏฐานที่เหลือทั้ง ๓ ข้อ ก็เป็นอันละได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นแล
จึงควรทราบว่า การละอภิชฌา และโทมนัสนี้ ตรัสไว้เพื่อทรงแสดงการละในสติปัฏฐานเหล่านั้น
ของภิกษุนั้น
ฉะนั้นแล
จบอุทเทสวารกถา