- ภิกษุใดในพระศาสนานี้คบแต่คนทุศีล ไม่คบคนมีศีล ไม่เห็นโทษการล่วงวัตถุ
เป็นผู้มาก
ไปด้วยความดำริผิด ไม่รักษาอินทรีย์ทั้งหลาย ศีลของภิกษุนั้นแล จัดเป็น หานภาคิยศีล
( ศีลตั้งอยู่ในฝ่ายแห่งความเสื่อม )
- ส่วนภิกษุใดในพระศาสนานี้เป็นผู้มีใจยินดีแต่ด้วยศีลสมบัติ
ไม่ยังความพอใจในการประกอบ
กัมมัฏฐานเนืองๆ ให้เกิดขึ้น ศีลนั้นของภิกษุ ผู้พอใจอยู่ด้วยคุณเพียงศีล ไม่พยายามสืบต่อให้
ยิ่งขึ้นไปนั้นเป็นฐิติภาคศีล ( ศีลตั้งอยู่ในฝ่ายทรงตัว )
- ส่วนภิกษุใดเป็นผู้มีศีลถึงพร้อมแล้ว พยายามสืบต่อให้ได้สมาธิ
ศีลของภิกษุนั้นเป็น
วิเสสภาคิยศีล ( ศีลตั้งอยู่ในฝ่ายวิเศษขึ้น )
- ภิกษุใดไม่พอใจด้วยคุณเพียงศีล ประกอบนิพพิทาเนืองๆ
อยู่ ศีลของภิกษุนั้นเป็น
นิพเพธภาคิยศีล ( ศีลตั้งอยู่ในฝ่ายชำแรกกิเลส )
- ฉะนี้แล
- พึงทราบศีลเป็น ๔ อย่าง โดยเป็นหานภาคิยศีลเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้
จตุกกะที่ ๒
- พึงทราบวินิจฉัยในจตุกะที่ ๒ ต่อไป
- สิกขาบทที่ทรงบัญญัติปรารภภิกษุทั้งหลาย และสิกขาบททั้งหลาย
ที่ภิกษุเหล่านั้นจำต้องรักษา โดยเป็น
พระบัญญัติสำหรับภิกษุ ( หมายถึงสิกขาบทอื่นๆ ลางประเภท ซึ่งมิใช่สาธารณบัญญัติ
) นี้ชื่อว่า ภิกขุศีล
สิกขาบทที่ทรงบัญญติปรารภภิกษุณีทั้งหลาย และสิกขาบทที่ภิกษุณีเหล่านั้นจำต้องรักษา
โดยเป็นพระบัญญัติ
สำหรับภิกษุณี นี้ชื่อว่า ภิกขุณีศีล ศีล ๑0 ของสามเณรและสามเณรีทั้งหลาย ชื่อว่าอนุปสัมปันนศีล
สิกขาบท ๕ ( ศีล ๕ ) ของอุบาสอุบาสิกา โดยเป็นนิจศีล หรือเมื่อมีอุตสาหะสิกขาบท
๑0 ( สิกขาบท ๑0
ก็คือศีลของสามเณรนั่นเอง คฤหัสถ์ผู้มีศรัทธาอุตสาหะ ลางคน เช่น ฆฏิการพราหมณ์
รับปฏิบัติ ) ( หรือ )
สิกขาบท ๘ โดยเป็นองค์อุโบสถ นี้ชื่อว่า คหัฏฐศีล พึงทราบศีลเป็น ๔ อย่างโดยเป็นภิกขุศีลเป็นต้น
ด้วยประการฉะนี้
จตุกกะที่ ๓
- พึงทราบวินิจฉัยในจตุกกะที่ ๓ ต่อไป ความไม่ล่วง ( ศีล
๕ ) ของมนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีป ชื่อ ปกติศีล
มรรยาทและจารีตของตนๆ แห่งตระกูลแห่งเทสะและแห่งปาสัณฑะ ( ลัทธิ ) ชื่อว่า อาจารศีล
ศีลของพระมารดา
พระโพธิสัตว์ ที่มีพระพุทธดำรัสไว้อย่างนี้ว่า " ดูกรอานนท์ ข้อนี้เป็นธรรมดา
คือในกาลเมื่อพระโพธิสัตว์
ก้าวลงสู่พระครรภ์ของพระมารดาแล้ว ความพอใจอันเกี่ยวด้วยกามคุณในบุรุษทั้งหลาย
ย่อมไม่
เกิดแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์ " ( ที.มหา.๑0/๑๔ ) ดังนี้ ชื่อว่า
ธัมมตาศีล ส่วนศีลในชาตินั้นๆ ของสัตว์ผู้มีสันดานหมดจดทั้งหลาย
- มีพระมหากัสสปะเป็นอาทิ และของพระโพธิสัตว์ ชื่อว่าปุพพเหตุกศีล
( ศีลมีเหตุอันสำเร็จมาแต่ใน
ชาติก่อนๆ ) พึงทราบศีลเป็น ๔ อย่าง โดยเป็นปกติศีลเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้
จตุกกะที่ ๔
- พีงทราบวินิจฉัยในจตุกกะที่ ๔ ต่อไป
ปาฏิโมกขสังวรศีล
- ศีลใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า " ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้สำรวมปาฏิโมกขสังวรอยู่
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษมาตรว่าเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ใน
สิกขาบททั้งหลาย " ( อภิ.วิ.๓๕/๓๒๘ ) ดังนี้ ศีลนี้ชื่อว่าปาฏิโมกขสังวรศีล
อินทรียสังวรศีล
- ส่วนศีลใดที่ตรัสไว้ว่า "ภิกษุนั้นเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว
เป็นผู้ไม่ถือเอานิมิต ( เครื่องหมาย )
ไม่ถือเอาอนุพยัญชนะ ( รายละเอียดส่วนย่อย ) อภิชฌาโทมนัสทั้งหลาย
ธรรมทั้งหลายอันเป็น
บาปเป็นอกุศล จะพึงไหลไปตามภิกษุผู้ไม่สำรวมจักขุนทรีย์อยู่ เพราะเหตุไม่สำรวมจักขุนทรีย์
อันใด ย่อมปฏิบัติเพื่อปิดกั้นเสียซึ่งจักขุนทรีย์นั้น รักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์
เธอฟังสียงด้วยโสตะแล้ว ฯลฯ ดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ฯลฯ ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ฯลฯ
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ฯลฯ รู้ธรรมารมณ์ด้วยมนะแล้วไม่ถือเอานิมิต ไม่ถือเอา
อนุพยัญชนะ ฯลฯ ถึงความสำรวมในมนินทรีย์ " ( อง.ติก.๒0/๑๔๓ )
ดังนี้
ศีลนี้ชื่อว่า อินทรียสังวรศีล
อาชีวปาริสุทธิศีล
- ส่วนการงดเว้นจากมิจฉาอาชีวะ อันเป็นไปด้วยอำนาจแห่งการละเมิดสิกขาบท
๖ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงบัญญัติเพราะอาชีพเป็นเหตุ เพราะอาชีพเป็นตัวการณ์ และ ( ด้วยอำนาจ ) แห่งบาปธรรมทั้งหลายมี
อย่างนี้คือ " การล่อลวง ( กุหนา ) การป้อยอ ( ลปนา ) การทำใบ้
( เนมิตฺติกตา ) การบีบบังคับ
( นิปฺเปสิกตา ) การแสวงหาลาภด้วยลาภ ( ลาเภน ลาภํ นิชิคึสนตา )
" ดังนี้เป็นต้น ศีลนี้ชื่อว่า
อาชีวปาริสุทธิศีล
ปัจจัยสันนิสิตศีล
- การบริโภคปัจจัย ๔ อันบริสุทธิ์ด้วยการพิจารณา ที่พระศาสดาตรัสไว้โดยนัยว่า
" ภิกษุพิจารณา
โดยแยบคายแล้วเสพจีวร ว่าเพียงเพื่อบำบัดความหนาว " ( ม.มู.๑๒/๑๗ )
ดังนี้เป็นต้น นี้ชื่อว่า
ปัจจัยสันนิสิตศีล
แก้อรรถแห่งบทต่างๆ
- ( ต่อไป ) นี้ เป็นคำวินิจฉัยพร้อมด้วยพรรณนาความแห่งบทโดยลำดับจำเดิมแต่ต้นในศีลเหล่านั้น
:-
- บทว่า อิธ คือในพระศาสนานี้ บทว่า ภิกฺขุ ได้แก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธาอันได้โวหาร
( คำเรียก )
อย่างนั้น เพราะภาวะคือเห็นภัยในสงสาร หรือนัยหนึ่งว่า เพราะความเป็นผู้ใช้ผ้าที่ฉีกเป็นชิ้นแล้วเป็นต้น
- ในบทว่า สำรวมด้วยปาฏิโมกขสังวรนี้ มีความว่า คำว่า ปาฏิโมกข์
หมายเอาศีลที่เป็นสิกขาบท
เพราะว่าผู้ใดเฝ้าระวัง คือรักษาศีลนั้น ศีลนั้นย่อมยังผู้นั้นให้รอด คือให้พ้นจากทุกข์ทั้งหลายมีทุกข์ใน
อบายเป็นต้นเพราะเหตุนั้น ศีลนั้นท่านจึงเรียกว่า ปาฏิโมกข์ ความปิดกั้น ชื่อว่าสังวร
คำว่า สังวรนี้
เป็นชื่อแห่งความไม่ละเมิดทางกายและทางวาจา สังวรคือปาฏิโมกข์ ชื่อว่าปาฏิโมกขสังวร
ภิกษุสำรวม
แล้ว คือเข้าถึงประกอบพร้อมแล้วด้วยสังวรคือปาฏิโมกข์นั้น ชื่อว่าสำรวมด้วยปาฏิโมกสังวร
บทว่า
วิหรติ คือผลัดเปลี่ยนอิริยาบถอยู่
อาจาระ อนาจาระ
- เนื้อความแห่งคำว่า " ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
" เป็นต้น พึงทราบตามนัยที่มาแล้วในพระ
บาลีนั่นแล จริงอยู่ พระธรรมสังคาหกาจารย์ กล่าวคำนี้ว่า " คำว่า ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
"
- มีนิเทศว่า อาจาระก็มี อนาจาระก็มี
ใน ๒ อย่างนั้น อนาจาระเป็นไฉน ? ความละเมิดทางกาย ความ
ละเมิดทางวาจา ความละเมิดทั้งกายและวาจา นี้ท่านเรียกว่าอนาจาระ ความเป็นผู้ทุศีลแม้ทั้งหมด
ก็ชื่อ
อนาจาระ ภิกษุลางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมเลี้ยงชีวิตด้วยการให้ไม้ไผ่บ้าง ด้วยการให้ใบไม้บ้าง
ด้วยการให้
ดอกไม้ ผลไม้เครื่องสนานและไม้สีฟันบ้าง ด้วยการทำตัวต่ำ ( เพื่อให้เขารัก )
บ้าง ด้วยพูด ( เล่นปนจริง )
เป็นแกงถั่วบ้าง *
ด้วยทำตัวเป็นพี่เลี้ยงทารกบ้าง ด้วยการรับสื่อข่าวให้เขาบ้าง หรือด้วยมิจฉาชีวะอย่างอื่นๆ
ที่พระพุทธเจ้าทรงรังเกียจ นี้ก็ชื่อว่าอนาจาระ
- ใน ๒ อย่างนั้น อาจาระเป็นไฉน ? ความไม่ละเมิดทางกาย
ความไม่ละเมิดทางวาจา ความไม่ละเมิดทั้ง
ทางกายและวาจา นี้ท่านเรียกว่าอาจาระ สีลสังวรแม้ทั้งหมดก็ชื่อว่าอาจาระ ภิกษุลางรูปในศาสนานี้
ไม่เลี้ยง
ชีพด้วยการให้ใบไม้ก็ดี ไม่เลี้ยงชีพด้วยการให้ดอกไม้ ผลไม้เครื่องสนาน และไม้สีฟันก็ดี
ไม่เลี้ยงชีพด้วยการ
ทำตัวต่ำ ( เพื่อจะให้เขารัก ) ก็ดี ไม่เลี้ยงชีพด้วยการพูด ( เล่นปนจริง ) เป็นแกงถั่วก็ดี
ไม่เลี้ยงชีพด้วย
การทำตัวเป็นพี่เลี้ยงทารกก็ดี ไม่เลี้ยงชีพด้วยการรับสื่อข่าวให้เขาก็ดี ไม่เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีวะอย่างอื่นๆ
ที่พระพุทธองค์ทรงรังเกียจก็ดี นี้เรียกว่าอาจาระ
- * ท่านว่าแกงถั่วนั้นจะมีถั่วที่ไม่สุกปนอยู่บ้างนิดหน่อยเสมอฉันใด
คนพูดเล่นปนจริงก็ฉันนั้น
ถ้อยคำของเขาไม่เป็นจริงส่วนมาก มีจริงปนอยู่นิดหน่อย
โคจร อโคจร
- คำว่า โคจร มีนิเทศว่า โคจร ก็มี อโคจร ก็มี ใน ๒ อย่างนั้น
อโคจรเป็นไฉน ? ภิกษุลางรูปในศาสนานี้
เป็นผู้มีหญิงแพศยาเป็นโคจร หรือมีหญิงหม้าย สาวเทื้อ บัณเฑาะก์ ภิกษุณี และโรงสุราเป็นโคจร
เป็นผู้คลุกคลี
อยู่กับพระราชา กับมหาอำมาตย์ กับเดียรถีย์ โดยการสังสรรค์กับคฤหัสถ์อย่างไม่สมควร
ก็หรือว่าย่อมเสพ
ย่อมคบ ย่อมเข้าไปนั่งใกล้ซึ่งตระกูลทั้งหลายที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ที่ด่าว่าเอา
ที่มุ่งสิ่งอันไม่มีประโยชน์
( ให้ ) มุ่งสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ( ให้ ) มุ่งความไม่ผาสุก ( ให้ ) มุ่งความไม่เกษมจากโยคะ
( ให้ ) แก่พวกภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา นี้เรียกว่าอโคจร
- ใน ๒ อย่างนั้น โคจรเป็นไฉน ? ภิกษุลางรูปในศาสนานี้ไม่เป็นผู้มีหญิงแพศยาเป็นโคจร
ฯลฯ ไม่เป็นผู้มีโรง
สุราเป็นโคจร ไม่คลุกคลีกับพระราชา ฯลฯ กับสาวกของเดียรถีย์ โดยการไม่สังสรรค์กับคฤหัสถ์ที่ไม่สมควร
ก็หรือว่าย่อมเสพ ย่อมคบ ย่อมเข้าไปนั่งใกล้ซึ่งตระกูลทั้งหลายที่มีศรัทธาเลื่อมใส
เป็น ( ดุจ ) บ่อน้ำ
- รุ่งเรืองด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ มีกลิ่นอายฤษีเข้าออก*
มุ่งประโยชน์ ( ให้ ) ฯลฯ มุ่งธรรมที่เกษมจากโยคะ
( ให้ ) แก่พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี้เรียกว่าโคจร ภิกษุผู้เข้าไปจนถึง
เป็นผู้เข้ามาจนถึง
เป็นผู้ปฏิบัติจนถึง เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยอาจาระนี้ด้วย ด้วยโคจรนี้ด้วยโดยนัยที่กล่าวมานี้
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียก " อาจารโคจรสมฺปนฺโน " ( ผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
)
อนาจาระ ๒ อย่าง
- ในข้อนี้ บัณฑิตพึงทราบอาจาระและโคจร แม้โดยนัย ( ต่อไป
) นี้อีกนัยหนึ่ง ก็อนาจาระมี ๒ อย่าง คือ
อนาจาระทางกาย ๑ อนาจาระทางวาจา ๑ ใน ๒ อย่างนั้น อนาจาระทางกายเป็นไฉน ?
- * มหาฎีกาแก้ว่า ตระกูลเช่นนั้น
ย่อมมีพวกฤษีคือ ภิกษุ ภิกษุณี เข้าออกกันอยู่เสมอ จึงมีลมจีวรและลม
สรีระที่เกิดแต่การคู้แขนเหยียดแขนเป็นต้น ของท่านเหล่านั้นกระพืออยู่เรื่อยๆ
- หน้า ๓๙
- ภิกษุลางรูปในศาสนานี้ แม้อยู่ในชุมนุมสงฆ์ ก็ไม่กระทำความยำเกรง
ยืนเบียดบ้าง นั่งเบียดบ้าง
ซึ่งภิกษุทั้งหลายผู้เถระ ยืนหน้า ( ท่าน ) บ้าง นั่งหน้า ( ท่าน ) บ้าง นั่งอาสนะสูง
( กว่าท่าน ) บ้าง
นั่งคลุมศีรษะบ้าง ยืนค้ำศีรษะ ( ท่าน ) พูดบ้าง ยกมือขวักไขว่พูดบ้าง เมื่อภิกษุผู้เถระไม่สวมรองเท้า
จงกรมอยู่ ตนสวมรองเท้าจงกรมบ้าง เมือ่ท่านจงกรมอยู่ในที่จงกรมต่ำ ตนจงกรมบนที่จงกรมสูงบ้าง
เมื่อท่าน
จงกรมอยู่ที่พื้นดิน ตนจงกรมบนที่จงกรมบ้าง ยืนแทรกบ้าง นั่งแทรกบ้าง ซึ่งภิกษุผู้เถระ
กันภิกษุใหม่ด้วย
อาสนะบ้าง * ยังไม่ทันขอโอกาสภิกษุผู้เถระ
แม้ในเรือนไฟ ขนฟืนไป ปิดประตูไป แม้ที่ท่าน้ำ เดินเสียดสี
ภิกษุผู้เถระลงไปบ้าง ลงก่อนบ้าง เบียดอาบบ้าง อาบก่อนบ้าง เบียดขึ้นบ้าง ขึ้นก่อนบ้าง
แม้เข้าไปสู่ละแวกบ้าน
ก็เดินเบียดเสียดภิกษุผู้เถระไปบ้าง ไปก่อนท่านบ้าง หลีกขึ้นหน้าพระเถระไปบ้าง
อนึ่ง ห้องเรือนของตระกูล
ทั้งหลายที่เป็นห้องลับและเขาปิดไว้ ซึ่งเป็นที่กุลสตรีกุลกุมารีนั่งกัน ก็ผลุนผลันเข้าไปในห้องนั้นบ้าง
ลูบคลำศีรษะเด็กชายบ้าง นี้ เรียกว่าอนาจาระทางกาย
- ใน ๒ อย่างนั้น อนาจาระทางวาจาเป็นไฉน ? ภิกษุลางรูปในศาสนานี้
แม้อยู่ในชุมนุมสงฆ์ก็ไม่ทำความ
ยำเกรง ยังมิได้ขอโอกาสภิกษุผู้เถระ กล่าวธรรมไป แก้ปัญหาไป สวดปาฎิโมกข์ไป ยืนพูดบ้าง
- * คือไม่นั่งตามที่อันสมควรแก่ตน
นั่งหลังไปหรือนั่งต่ำไป เป็นเหตุให้ภิกษุใหม่หาที่นั่งไม่ได้ เพราะที่
อันสมควรแก่ภิกษุใหม่ ท่านนั่งเสียแล้ว จะไปนั่งหน้านั่งเหนือท่านก็ไม่ได้
- ยกมือขวักไขว่พูดบ้าง แม้เข้าไปสู่ละแวกบ้านกล่าวกะหญิงหรือเด็กหญิงอย่างนี้ว่า
" แน่ะแม่ผู้มีชื่ออย่างนี้
ผู้มีโคตรอย่างนี้ ข้าวต้มยังมีอยู่หรือ ของเคี้ยวมีอยู่หรือ " พูดพล่ามไปว่า
" อาตมาจักดื่มอะไร จักเคี้ยวอะไร
จักฉันอะไร " หรือว่า " ท่านทั้งหลายจักให้อะไรแก่อาตมา " ดังนี้
นี้เรียกว่าอนาจาระทางวาจา ส่วนอาจาระ
พึงทราบโดยตรงข้ามกับอนาจาระนั้นเถิด
- อีกนัยหนึ่ง ภิกษุผู้มีความเคารพ มีความยำเกรง ถึงพร้อมด้วย
หิริ โอตตัปปะ นุ่งเรียบร้อย ห่มเรียบร้อย
มีกิริยาก้าวไป ถอยกลับ แล เหลียว คู้แขน เหยียดแขน น่าเลื่อมใส จักษุทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ
รักษาทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะ ประกอบเนืองๆ ซึ่งชาคริยธรรม (
การประกอบ
ความเพียรเครื่องตื่นอยู่ คือ เพียรพยายามปฏิบัติธรรม ไม่เห็นแก่นอน ตื่นตัวอยู่เป็นนิตย์
ชำระจิตไม่ให้
มีนิวรณ์ ) กอบด้วยสติสัมปปชัญญะ มักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร
กระทำโดยความ
เคารพในอภิสมาจาริกสิกขาทั้งหลาย มากไปด้วยความเคารพและยำเกรงอยู่ ความเป็นผู้มีความเคารพเป็น
อาทินี้ เรียกว่า อาจาระ พึงทราบอาจาระดังนี้ก่อน
โคจร ๓
อุปนิสัยโคจร
- ส่วนโคจรมี ๓ อย่าง คือ อุปนิสัยโคจร อารักขโคจร อุปนิพันธโคจร
ในโคจร ๓ อย่างนั้น อุปนิสัย
โคจรเป็นไฉน ? กัลยาณมิตร ผู้กอบด้วยคุณอันเป็นกถาวัตถุ ๑0 ซึ่งเป็นที่บุคคลได้อาศัยแล้วย่อมได้ฟังสิ่งที่
ยังไม่เคยฟัง