ลาเภน ลาภํ นิชิคึสนตานิเทศ
- พึงทราบอรรถาธิบายในนิเทศแห่ง ลาเภน ลาภํ นิชิคึสนตา
ต่อไป การแสวงหา ชื่อว่า นิชิคึสนตา
คำว่า อิโต ลทฺธํ คือได้ แต่เรือนนี้ บทว่า อมุตฺร คือที่เรือนโน้น
บทว่า เอฏฺฐิ ได้แก่ ความใฝ่หา บทว่า
คเวฏฺฐิ ได้แก่การเสาะหา บทว่า ปริเยฏฺฐิ ได้แก่การแสวงหา ก็ในนิเทศนี้
บัณฑิตพึงกล่าวเรื่องของภิกษุ
ผู้ให้ภิกษาที่ได้ๆ ตั้งแต่แรกแก่กุลทารกในสกุลนั้นๆ ( แล้วได้ปัจจัยตอบแทนเรื่อยมา
) ในที่สุดได้ขีรยาคูไป
( เป็นตัวอย่างที่นำมาแสดงให้เห็น ) บทว่า เอสนา เป็นต้น เป็นไวพจน์ (
คำสำหรับเรียกแทนกัน ) ของบทว่า
เอฏฺฐิ เป็นต้นนั่นเอง เพราะเหตุนั้น พึงทราบในบทเหล่านี้ว่า เอฏฺฐิ
ก็คือ เอสนา บทว่า คเวฏฺฐิ ก็คือ
คเวสนา บทว่า ปริเยฏฺฐิ ก็คือ ปริเยสนา ดังนี้
- ความที่กล่าวมานี้เป็นอรรถาธิบายแห่งบาปธรรมทั้งหลายมีกุหนาเป็นต้น
- บัดนี้พึงทราบว่า ในคำว่า เอวมาทีนญฺจ ปาปธมฺมานํ
นั้นถือเอาบาปธรรมเป็นอเนก ที่ตรัสไว้ในพรหม
ชาลสูตร โดยนัยว่า " อีกอย่างหนึ่ง เหมือนอย่างว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกหนึ่ง
บริโภคโภชนะที่ทายก
ถวายด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพ
- ด้วยดิรัจฉานวิชาเช่นนี้ ดิรัจฉานวิชานี้คืออะไรบ้าง
ติรัจฉานวิชาคือ องฺคํ วิชาทำนายอังคาพยพ นิมิตฺตํ
วิชาทำนายลาง อุปฺปาตํ ทำนายอุบาต สุปินํ ทำนายฝัน ลกฺขณํ
ทำนายลักษณะ มูสิกจฺฉินฺนํ ทำนายรอยหนู
กัดผ้า อคฺคิโหมํ วิธีบูชาเพลิง ทพฺพิโหมํ วิธีบังหวนควัน "
ดังนี้เป็นต้นด้วย
- มิจฉาชีวะ ที่เป็นด้วยอำนาจแห่งการละเมิดสิกขาบท
๖ ที่ทรงบัญญัติเพราะอาชีพเป็นเหตุเหล่านี้ก็ดี ด้วย
อำนาจแห่งบาปธรรมทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือการลวง การป้อยอ การขู่เข็ญ และการแสวงหาลาภด้วยลาภ
เหล่านี้ก็ดีอันใด การงดเว้นจากมิจฉาชีวะทุกประการนั้นใด อันนี้ชื่อว่า อาชีวปาริสุทธิศีล
ฉะนี้แล
- ความแห่งคำในคำว่า อาชีวปาริสุทธิศีลนั้น
ดังนี้ ชนทั้งหลายย่อมอาศัยสิ่งนั้นเป็นอยู่ เหตุนั้น สิ่งนั้นจึง
ชื่อว่าอาชีวะ สิ่งนั้นได้แก่อะไร ? สิ่งนั้นได้แก่ความพยายามในการแสวงหาปัจจัย
ความหมดจด ชื่อว่า
ปาริสุทธิ ความหมดจดแห่งอาชีวะ ชื่อว่า อาชีวปาริสุทธิ
ปัจจัยสันนิสิตศีล
- ส่วยปัจจัยสันนิสิตศีล ที่กล่าวว่าในลำดับแห่งอาชีวปาริสุทธิศีลนั้นใด
พึงทราบอรรถธิบายในปัจจัยสันนิสิต
ศีลนั้น ดังต่อไปนี้ :-
แก้บทจีวร
- ซึ่งกล่าวโดยนัยว่า เพื่อบำบัดความหนาว
เป็นต้นนั่นเอง บัณฑิตพึงทราบว่า ชื่อว่า พิจารณาโดยแยบคาย
ในที่นี้ ในบทเหล่านั้น บทว่า จีวร ได้แก่บรรดาผ้ามีอันตรวาสกเป็นต้น
ผืนใด ผืนหนึ่ง บทว่า เสพเฉพาะ คือ
ใช้สอย ได้แก่นุ่งหรือห่ม คำว่า ยาวเทว เป็นคำนิยมกำหนดเขตแดนแห่งประโยชน์
จริงอยู่ ประโยชน์ในการ
ใช้จีวรของพระโยคีก็มีเท่านี้เอง นี้คืออะไร คือประโยชน์ว่า เพื่อจะบำบัดความหนาวเป็นต้น
หายิ่งไปกว่านี้ไม่
คำว่าความหนาว ได้แก่ ความหนาวอันเกิดขึ้นด้วยอำนาจความกำเริบแห่งธาตุภายในก็ดี
ด้วยอำนาจความแปร
เปลี่ยนแห่งฤดูภายนอกก็ดี อย่างใดอย่างหนึ่ง บทว่า ปฏิฆาตาย แปลว่า เพื่อบำบัด
คือเพื่อบรรเทาเสียซึ่ง
ความหนาวนั้น อย่างที่มันจะไม่ยังอาพาธให้เกิดขึ้นในสรีระได้ เพราะว่าเมื่อสรีระถูกความหนาวเบียนเอาแล้ว
ภิกษุมีจิตกระสับกระส่าย ย่อมไม่อาจจะตั้งความเพียรโดยแยบคายได้ เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ได้ทรงอนุญาตว่า พึงใช้จีวรเพื่อบำบัดความหนาวได้ นัยนี้พึงทราบในประโยชน์ที่เหลือทั้งปวง
เพราะใน
อธิการนี้ได้กล่าวไว้สิ้นเชิงแล้ว บทว่า ความร้อน คือความร้อนแห่งไฟ บัณฑิตพึงทราบแดนเกิดแห่งความ
ร้อนนั้น ในเพราะไฟป่าเป็นต้น
- ส่วนในประชุมบทว่า ฑํสมกสวาตาตปสิรึสปสมฺผสฺสานํ นั้น
พึงทราบอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ บทว่า
ฑํสา แปลว่าเหลือบ บทว่า มกสา แปลว่ายุงนั่นเอง บทว่า วาตา
ได้แก่ลมทั้งหลาย อันต่างโดยเป็นลม
เจือฝุ่นและลมไม่เจือฝุ่นเป็นต้น
- บทว่า อาตโป คือแดด สัตว์ที่เสือกคลานไปทุกชนิด
ชื่อว่า สิรึสป ได้แก่สัตว์จำพวกตัวยาวมีงูเป็นต้น
สัมผัสของสัตว์เหล่านั้นมี ๒ อย่าง คือ สัมผัสด้วยการกัดเอา ๑ สัมผัสด้วยการถูกต้องเอา
๑ สัมผัส ๒ อย่างนั้น
หาเบียดเบียนภิกษุผู้ห่มจีวรนั่งอยู่ได้ไม่ เพราะเหตุนั้น ในที่เช่นนั้น ภิกษุจึงเสพจีวรเพื่อประโยชน์แก่การบำบัด
สัมผัสเหล่านั้น การกล่าวคำว่า ยาวเทว นี้อีก ก็เพื่อแสดงการกำหนดเขตแดนแห่งประโยชน์ที่แน่
แท้จริงการ
ปกปิดอวัยวะที่ยังความละอายให้กำเริบ เป็นประโยชน์ประจำ ประโยชน์นอกนี้ย่อมมีในกาลลางครั้งลางคราว
คำว่า หิริโกปินํ ในบท หิริโกปินปฏิจฺฉาทนตฺถํ นั้น หมายเอาที่แคบนั้นๆ
จริงอยู่ เมื่ออวัยวะใดๆ อันบุคคล
เปิดเข้า ความละอายย่อมกำเริบ คือย่อมเสียไป อวัยวะนั้นๆ ท่านเรียกว่า หิริโกปินะ
เพราะเป็นที่ยังความ
ละอายให้กำเริบ ความแห่งบทนั้นว่า เพื่อปกปิดเสียซึ่งอวัยวะหิริโกปินะนั้นแล
แก้บทบิณฑบาต
- บทว่า บิณฑบาต ได้แก่อาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็อาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านเรียกว่า บิณฑบาต เพราะ
อาหารนั้นตกลงในบาตรของภิกษุโดยการภิกขาจาร อีกนัยหนึ่ง ความตกลงแห่งก้อนข้าวทั้งหลาย
อธิบายว่า
ความประชุมกัน ความรวมกันแห่งภิกษาทั้งหลายที่ภิกษุได้แล้วในที่นั้นๆ ชื่อว่าบิณฑบาต
- บทว่า เนว ทวาย คือ เพื่อทวะ
อธิบายว่า มุ่งจะเล่นเช่นดังทารกทั้งหลายมีคามทารกเป็นต้น หามิได้
บทว่า น มทาย คือเพื่อมทะ อธิบายว่า มุ่งมัวเมาในกำลังกาย และมุ่งมัวเมาในความเป็นผู้ชาย
( มหาฎีกาแก้ว่า ลางอาจารย์ว่าได้แก่ ราคะอันอาศัยความสามารถในการเสพอสัทธรรมนั่นเอง
) เช่นดังพวกนักมวยเป็นต้น
หามิได้ บทว่า น มณฺฑนาย คือเพื่อมัณฑนะ อธิบายว่า มุ่งภาวะคือการทำอวัยวะใหญ่น้อยให้เอิบอิ่ม
เช่นดัง
หญิงชาววัง และหญิงแพศยาเป็นต้นหามิได้ บทว่า น วิภูสนาย คือเพื่อวิภูสนะ
อธิบายว่ามุ่งความมีฉวีวรรณ
สดใส เช่นดังตัวละครและตัวระบำเป็นต้น หามิได้
- อนึ่ง บัณฑิตพึงทราบว่าใน ๔ บทนั้น บทว่า เนว ทวาย
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อละความเป็น
อุปนิสัยแห่งโมหะ บทว่า น มทาย นั้น ตรัสเพื่อละความเป็นอุปนิสัยแห่งโทสะ
สองบทว่า น มณฺฑนาย น
วิภูสนาย นั้นตรัสเพื่อละความเป็นอุปนิสัยแห่งราคะ อนึ่ง สองบทว่า เนว
ทวาย น มทาย นี้ ตรัสเพื่อกัน
ความเกิดขึ้นแห่งสังโยชน์สำหรับตน
- สองบทว่า น มณฺฑนาย น วิภูสนาย
นี้ ตรัสเพื่อกันความเกิดขึ้นแห่งสังโยชน์สำหรับคนอื่นด้วย
อนึ่ง การละอโยนิโสปฏิบัติ และกามสุขัลลิกานุโยค ก็เป็นอันตรัสด้วยบททั้ง ๔ นั้นด้วย
- บทว่า ยาวเทว มีอธิบายดังกล่าวแล้วนั้นแล
บทว่า อิมสฺส กายสฺส คือแห่งรูปกายอันประกอบด้วย
มหาภูตรูป ๔ นี้ บทว่า ฐิติยา คือเพื่อตั้งอยู่โดยต่อเนื่องกันไป บทว่า
ยาปนาย คือเพื่อความไม่ขาดสาย
แห่งความเป็นไป หรือเพื่อตั้งอยู่ตลอดกาลนาน จริงอยู่ ภิกษุนี้ย่อมเสพบิณฑบาตเพื่อความตั้งอยู่แห่งกาย
และเพื่อความเป็นไปได้เหมือนเจ้าของเรือนชำรุดค้ำเรือน และเหมือนพ่อค้าเกวียนหยอดเพลาเกวียนฉะนั้น
หาใช่เพื่อเล่น เพื่อเมา เพื่อตกแต่งและประเทืองผิวไม่ อีกนัยหนึ่ง พึงทราบว่า
คำว่า ฐิติ นี้ เป็นชื่อของ
ชีวิตินทรีย์ เพราะเหตุนั้น ด้วยคำว่า อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา ยาปนาย เพียงเท่านี้
จึงมีคำอธิบายว่า
" เพื่อยังชีวิตินทรีย์แห่งกายนี้ให้เป็นไป " ดังนี้ก็ได้
- บทว่า วิหึสุปรติยา มีวินิจฉัยว่า
ความหิว ชื่อ วิหึสา เพราะอรรถว่าทำให้ป่วย แท้จริง ภิกษุนี้เสพ
บิณฑบาตเพื่อระงับความหิวนั้น เหมือนคนเป็นแผลทายารักษาแผล และคนไข้ ในเมื่อเกิดอาการร้อนและ
หนาวเป็นต้น ก็กินยาแก้อาการนั้นฉะนั้น บทว่า พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย คือเพื่ออนุเคราะห์สาสนพรหม
จรรย์ทั้งสิ้น และมรรคพรหมจรรย์ด้วย จริงอยู่ ภิกษุนี้ เมื่ออาศัยกำลังกาย (
อันเกิดมี ) เพราะการเสพ
บิณฑบาตเป็นปัจจัย
- ปฏิบัติไปเพื่อข้ามภพกันดาร โดยประกอบเนืองๆ
ในสิกขา ๓ ชื่อว่าย่อมเสพ ( บิณฑบาต ) เพื่อ
อนุเคราะห์พรหมจรรย์ เสมือน ( คู่ภริยาสามี ) ผู้มีความต้องการข้ามทางกันดาร
( จำใจ ) บริโภคเนื้อบุตร
เสมือนคนต้องการข้ามแม่น้ำอาศัยแพ และเสมือนคนผู้ต้องการข้ามทะเลอาศัยเรือ ฉะนั้น
- ข้อว่า อิติ ปุราณญฺจ เวทนํ
ปฏิหงฺขามิ นวญฺจ เวทนํ น อุปฺปาเทสฺสามิ มีอรรถาธิบายว่า
" ภิกษุคิดว่า ด้วยประการนี้ คือ ด้วยการเสพบิณฑบาตนี้ เราจักกำจัดเวทนาคือความหิวแต่เก่าก่อนเสียได้ด้วย
จักไม่ยังเวทนาใหม่ อันมีการบริโภคเกินประมาณเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น เหมือนดังพราหมณ์อาหรหัตถกะ
พราหมณ์อลังสาฎกะ พราหมณ์ตัตถวัฏฏกะ พราหมณ์กากมาสกะ พราหมณ์ภุตตวมิตกะ คนใดคนหนึ่งด้วย*
ดังนี้แล้ว เสพ ( บิณฑบาต ) ดังคนไข้เสพเภสัชฉะนั้น
"
- *
มหาฎีกาว่า ชื่อพราหมณ์ ๕ คนนี้ ไม่ใช่ชื่อตัว เป็นชื่อฉายา พราหมณ์ ๕ ล้วนแต่เป็นคนกินจุเกินประมาณ
ทั้งนั้น
- คนหนึ่ง กินมาจนลุกไม่ไหว ต้องให้คนอื่นช่วยฉุดมือจึงลุกขึ้นได้
คำขอร้องให้ช่วยฉุดมือนี้ว่า " อาหร หตฺถํ "
เพราะฉะนั้น พราหมณ์ผู้นี้จึงได้ฉายาว่า " อาหรหัตถกะ " ( ตาพราหมณ์
" ฉุดมือที " )
- คนหนึ่งกินแล้วลุกขึ้นเองได้ แต่ว่าท้องกางเกินขนาด
ไม่อาจนุ่งผ้าได้ จึงได้ฉายาว่า " อลังสาฏกะ "
( ตาพราหมณ์ " อย่าผ้า " )
- คนหนึ่ง กินแล้วลุกไม่ไหว เลยนอนลงกลิ้งเกลือกอยู่กับที่กินนั่นเอง
จึงได้ฉายาว่า " ตัตถวัฏฏกะ "
( ตาพราหมณ์ " กลิ้งอยู่กับที่ " )
- คนหนึ่ง กินจนคุงปาก อ้าปากให้กาจิกอาหารกินจากช่องปากได้
จึงได้ฉายาว่า " กากมาสกะ "
( ตาพราหมณ์ " กินเผื่อกา " )
- คนหนึ่ง กินจนอุบไว้ไม่ไหว ต้องคาย
คืออ้วกออกมา ในที่นั่งกินนั่นเอง จึงได้ฉายาว่า " ภุตตวมิตกะ "
( ตาพราหมณ์ " คายข้าว " )
- ดังนี้นัยหนึ่ง อีกนัยหนึ่ง พึงทราบอรรถาธิบายในข้อนี้ว่า
" เวทนาใดที่ท่านเรียกว่าเวทนาเก่า เพราะอาศัย
การบริโภคของอันไม่เป็นสัปปายะและบริโภคเกินประมาณในปัจจุบันเกิดขึ้น ด้วยอำนาจกรรมเก่าเป็นปัจจัย
เราเมื่อยังปัจจัยแห่งเวทนาเก่านั้นให้เสื่อมไปด้วยบริโภคอาหารที่เป็นสัปปายะและบริโภคพอประมาณ
ชื่อว่า
ย่อมกำจัดเวทนาเก่านั้นเสียได้ด้วย และเวทนาใดที่เรียกว่า เวทนาใหม่ เพราะอาศัยก่อกรรม
คือการบริโภค
ที่ไม่ชอบ ซึ่งตนกระทำในบัดนี้ เกิดขึ้นต่อไป เราเมื่อไม่ให้มูลแห่งเวทนาใหม่นั้นเกิดขึ้น
ด้วยอำนาจแห่งการ
บริโภคชอบ ชื่อว่าจักไม่ยังเวทนาใหม่นั้นให้เกิดขึ้นด้วย " ดังนี้ก็ได้
- ก็แล การถือความบริโภคชอบ การละอัตตกิลมถานุโยค
และการไม่ละเลยสุขอันชอบธรรม ( ๓ ประการนี้ )
พึงทราบว่า เป็นอันทรงแสดงครบแล้ว ด้วยปาฐะเพียง ๒ ข้อนี้
- ข้อว่า ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสติ
ความว่า ภิกษุคิดว่า ด้วยการบริโภคพอประมาณ ความเป็นไป กล่าวคือ
ความดำเนินไปตลอดกาลนาน เพราะความไม่มีอันตรายที่จะเข้ามาตัดรอนชีวิตินทรีย์
หรือ จะบั่นทอนอิริยาบถ
จักมีแก่เรา อนึ่งว่า จักมีแก่ร่างกายของเราที่มีความเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัยนี้ด้วย
ดังนี้แล้วเสพ ( บิณฑบาต )
เหมือนคนมีโรคเรื้อรังเสพยาแก้โรคนั้นฉะนั้น
- สองบทว่า อนวชฺชตา จ ผาสุวิหาโร
จ ความว่า ภิกษุคิดว่า ความหาโทษมิได้ จักมีแก่เรา ด้วยเว้น
การแสวงหา การรับ และการบริโภคที่มิชอบเสีย และความอยู่ผาสุกจักมีแก่เราด้วยบริโภคพอประมาณ
ดังนี้
นัยหนึ่งว่า " ความหาโทษมิได้ โดยไม่มีโทษต่างๆ เช่นความกระสัน ความคร้าน
ความอืดอาด ความถูกผู้รู้
ติเตียนเป็นต้น เพราะบริโภคของที่ไม่สัปปายะและบริโภคเกินประมาณเป็นปัจจัย จักมีแก่เรา
และความผาสุก
โดยมีร่างกายแข็งแรง เพราะบริโภคอาหารที่เป็นสัปปายะและบริโภคพอประมาณเป็นปัจจัย
จักมีแก่เรา " ดังนี้บ้าง
นัยหนึ่งว่า " ความหาโทษมิได้โดยละสุขในการนอน สุขในการเอกเขนก สุขในการหลับเสีย
จักมีแก่เรา ด้วยเว้น
บริโภคอาหารตามที่ต้องการจนเต็มท้อง และความผาสุก โดยอิริยาบถ ๔ ดำเนินไปสมประกอบจักมีแก่เรา
ด้วยบริโภคอาหารให้หย่อนไว้สัก ๔ - ๕ คำ " ดังนี้บ้างแล้วเสพ ( บิณฑบาต)
สมคำประพันธ์ที่กล่าวไว้ว่า
- โยคาวจรภิกษุพึงเลิกบริโภค ( ก่อนจะอิ่ม ) ๔- ๕ คำ
แล้วดื่มน้ำ การบริโภคเพียงเท่านี้
ก็พอแล้วเพื่อความอยู่ผาสุก แห่งภิกษุผู้มีตนส่งไปแล้ว ( คือไม่อาลัยในร่างกายและชีวิต
) ดังนี้
- การกำหนดถือเอาประโยชน์ และข้อปฏิบัติสายกลาง พึงทราบว่าเป็นอันทรงแสดงแล้วด้วยปาฐะเพียง
๓ บทนี้ ( มีบทว่า ยาตฺรา เป็นอาทิ )
แก้บทเสนาสนะ
บทว่า เสนาสนะ หมายเอาทั้งที่นอนและที่นั่ง ก็ภิกษุนอนในที่ใดๆ
จะเป็นวิหารหรือเรือนโรงต่างๆ
มีเพิงเป็นต้นก็ตาม ที่นั้นๆ ชื่อว่าเสนาสนะ ภิกษุย่อมนั่ง คือย่อมพักอยู่ในที่ใดๆ
( ดังกล่าวแล้ว ) ที่นั้นๆ
ชื่อว่า อาสนะ รวมสองคำนั้นเข้าด้วยกันเรียกว่า " เสนาสนะ " สองบทว่า
อุตุปริสฺสยวิโนทนํ ปฏิสลฺลานา
รามตฺถํ อธิบายว่า " ฤดูนั่นเอง ชื่อ อุตุปริสฺสย ( อันตรายคือฤดู
) เพราะอรรถว่าเบียดเบียน " ความแห่ง
สองบทนั้นว่า " เพื่อบรรเทาอุตุปริสสยะด้วย เพื่อสำราญในการเร้นอยู่ด้วย
" มีคำขยายความว่า
" ฤดูใดไม่สัปปายะ ทำความอาพาธแห่งสรีระ และความกระสับกระส่ายแห่งจิต เป็นสิ่งพึงบรรเทาเสียด้วย
การเสพเสนาสนะ เพื่อบรรเทาฤดูนั้น และเพื่อสำราญในการเร้นอยู่ด้วย " แท้จริง
การบรรเทาอุตุปริสสยะ
ก็ได้ตรัสไว้แล้วด้วยบาลีข้างต้นมีคำว่า " สีตสฺส ปฏิฆาตาย " เป็นอาทินั้นโดยแท้
ถึงอย่างนั้น พึงทราบว่า
ตรัสคำนี้ไว้ในตอนท้ายนี้อีก ( ด้วย ) ทรงมุ่งหมาย ( ให้ทราบว่า ) การบรรเทาอุตุปริสสยะเป็นประโยชน์ประจำ
เช่นเดียวกับคำที่กล่าวไว้ในตอนเสพจีวรว่า " การปกปิดอวัยวะที่ยัง ความละอายให้กำเริบ
เป็นประโยชน์ประจำ
ประโยชน์นอกนี้ย่อมมีในกาลลางครั้งลางคราว " ฉะนั้น