พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 299 หน้า 251-253 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
ธัมมานุปัสสนา
สัจจบรรพ
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
- [ ๒๙๙ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ
คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ( ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมที่ดับทุกข์ คือพระ
นิพพาน ) เป็นอย่างไร ทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์ ๘ ทางเดียวนี้แล ทางนี้อย่างไร
คือ ความเห็นชอบ
ความดำริชอบ การเจรจาชอบ การกระทำชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความพยายามชอบ ความระลึกชอบ
ความตั้ง
จิตมั่นชอบ
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ
( ความเห็นชอบ ) เป็นอย่างไร
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้ในทุกข์
ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ธรรมที่ดับทุกข์ ความรู้ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรม
ที่ดับทุกข์ อันใดแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ
( ความดำริชอบ ) เป็นอย่างไร
ความดำริในการออกบวช ( คือออกจากกามารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ )
ความดำริในความไม่
พยาบาท ความดำริในการไม่เบียดเบียน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจา
( การเจรจาชอบ ) เป็นอย่างไร
การเว้นจากการกล่าวเท็จ การเว้นจากวาจาส่อเสียด การเว้นจากวาจาหยาบคาย การเว้นจากเจรจาเพ้อเจ้อ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาวาจา
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ
( การกระทำชอบ ) เป็นอย่างไร
การเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากความประพฤติผิดในกาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมากัมมันตะ
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะ
( การเลี้ยงชีพชอบ ) เป็นอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละความเลี้ยงชีพผิดเสียแล้ว ย่อมสำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยง
ชีพชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ กล่าวว่า สัมมาอาชีวะ
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะ
( ความพยายามชอบ ) เป็นอย่างไร
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้
เพื่อจะยังอกุศลธรรม อันเป็นบาป ที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
- ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด ย่อมพยายาม
ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
- ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด ย่อมพยายาม
ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังกุศลธรรม
ที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น
- ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด ย่อมพยายาม
ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งอยู่
ไม่เลือนหาย เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์มีขึ้นเต็มเปี่ยมแห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า
สัมมาวายามะ
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติ
( ความระลึกชอบ ) เป็นอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส ( ความยินดียินร้าย ) ในโลกให้พินาศ
- ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เนืองๆ
อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
( ความยินดียินร้าย ) ในโลกให้พินาศ
- ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต เนืองๆ
อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
( ความยินดียินร้าย ) ในโลกให้พินาศ
- ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เนืองๆ
อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
( ความยินดียินร้าย ) ในโลกให้พินาศ
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิ
( ความตั้งจิตมั่นชอบ ) เป็นอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดแล้วจากกามารมณ์ สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศล
เข้าถึงปฐมฌาน
ประกอบด้วย วิตกและวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก
- เพราะความที่วิตกและวิจารระงับลง
เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสใจ ( ปีติเจตสิก ) ณ ภายใน ให้สมาธิเป็น
ธรรมอันเอกมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขที่เกิดจากสมาธิ
- เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน
ที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
- เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้มีอุเบกขาเป็นเหตุ
ให้สติบริสุทธิ์อยู่
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า
สัมมาสมาธิ
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า
อริยสัจ คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ดังนี้
- ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง
ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้
แต่เพียง สักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
คือ อริยสัจ ๔ อย่างนี้แล
จบ สัจจบรรพ
จบ ธัมมานุปัสสนา
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 359-365 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
สัจจบรรพ
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
- คำว่า อยเมว เป็นคำกำหนดแน่ชัดเพื่อปฏิเสธมรรคอื่น
คำว่า อริโย ความว่า มรรคชื่อว่า
อริยะ เพราะไกล
จากกิเลสทั้งหลาย อันมรรคนั้นๆ พึงฆ่า ( กิเลส ) และเพราะทำความเป็นพระอริยะ
ทรงแสดงกัมมัฏฐานว่าด้วย
สัจจะ ๔ ด้วยคำว่ารู้ในทุกข์ เป็นต้น ในสัจจะ ๔ นั้น ๒ สัจจะต้น ( ทุกข สมุทัย
) เป็นวัฏฏสัจจะ ๒ สัจจะหลัง
( นิโรธ มรรค ) เป็นวิวัฏฏสัจจะ ในวัฏฏสัจจะ
และวิวัฏฏสัจจะเหล่านั้น ความตั้งมั่นแห่งกัมมัฏฐานของภิกษุ ย่อมมีใน
วัฏฏสัจจะไม่มีในวิวัฏฏสัจจะ ก็พระโยคาวจรกำหนดสัจจะ ๒ เบื้องต้น ในสำนักอาจารย์โดยย่อ
อย่างนี้ว่า ปัญจขันธ์
เป็นทุกข์ ตัณหาเป็นสมุทัย และพิสดารโดยนัยเป็นต้นว่า ปัญจขันธ์เป็นไฉน คือรูปขันธ์ดังนี้แล้ว
ทบทวน ชื่อว่า
ทำกรรมในสัจจะ ๒ เหล่านั้น ส่วนในสัจจะ ๒ นอกนี้ พระโยคาวจร ย่อมทำกรรม ด้วยการฟังอย่างเดียว
อย่างนี้ว่า
นิโรธสัจ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มรรคสัจ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ พระโยคาวจรนั้น
เมื่อทำอยู่อย่างนี้
ย่อมแทงตลอดสัจจะทั้ง ๔ ด้วยปฏิเวธญาณอันเดียว
ย่อมตรัสรู้ด้วย อภิสมยญาณ อันเดียว คือแทง
ตลอดทุกขสัจจะด้วยปฏิเวธ คือปริญญากิจ
แทงตลอดสมุทัยด้วยปหานกิจ แทงตลอดนิโรธสัจจะ
ด้วยสัจฉิกิริยากิจ แทง
ตลอดมรรคสัจจะ ด้วยภาวนากิจ ย่อมตรัสรู้ทุกขสัจจะ
ด้วยอภิสมยญาณ คือปริญญากิจ ตรัสรู้สมุทัยสัจจะ ด้วย
ปหานกิจ ตรัสรู้นิโรธสัจจะ ด้วยสัจฉิกิริยากิจ ตรัสรู้มรรคสัจจะ ด้วยภาวนากิจ
ในเบื้องต้น พระโยคาวจรนั้น มีปฏิเวธญาณในสัจจะ ๒ เบื้องต้น ด้วยการกำหนด การสอบถาม
การฟัง การทรงจำและการพิจารณา ส่วนในสัจจะ ๒
เบื้องปลาย พระโยคาวจรมีปฏิเวธญาณ ด้วยอำนาจการฟังอย่างเดียว ในภายหลัง จึงมีปฏิเวธญาณในสัจจะ
๓ โดยกิจ
มีปฏิเวธญาณในนิโรธสัจโดยอารมณ์ ส่วนปัจจเวกขณญาณมีแก่พระโยคาวจรผู้บรรลุสัจจะแล้ว
และพระโยคาวจรนี้
เป็นผู้เริ่มบำเพ็ญเพียร เพราะฉะนั้นจึงไม่ตรัสปัจจเวกขณญาณนั้นไว้ในที่นี้ อนึ่ง
เมื่อภิกษุนี้กำหนดรู้ในเบื้องต้น ความ
คำนึง รวบรวมใจ ใส่ใจ และพิจารณาว่า เรากำหนดรู้ทุกข์ เราละสมุทัย เราทำให้แจ้งนิโรธ
เราเจริญมรรค ดังนี้ ยังไม่มี
จะมีได้ตั้งแต่การกำหนดไป ส่วนในเวลาภายหลัง ทุกข์ก็เป็นอันชื่อว่ากำหนดรู้แล้ว
สมุทัยก็เป็นอันละเสียแล้ว
นิโรธเป็นอันทำให้แจ้งแล้ว มรรคก็เป็นอันทำให้เจริญแล้ว
- ในสัจจะเหล่านั้น สัจจะ ๒ เบื้องต้น ชื่อว่า ลึกซึ้ง
เพราะเห็นได้ยาก สัจจะ ๒ เบื้องหลัง ชื่อว่าเห็นยาก เพราะ
ลึกซึ้ง ความจริง ทุกขสัจปรากฏ ตั้งแต่เกิดมา ถึงกับกล่าวกันว่า ทุกข์หนอ ในเวลาที่ถูกตอและหนามตำเป็นต้น
แม้สมุทัยสัจก็ปรากฏตั้งแต่เกิดมา ด้วยอำนาจอยากเคี้ยว อยากกินเป็นต้น แต่แม้ทั้งสองสัจจะนั้นก็ชื่อว่าลึกซึ้ง
โดยลักษณะ และการแทงตลอด สัจจะ ๒ นั้น ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยากด้วยประการฉะนี้
ส่วนความพยายาม
เพื่อเห็น สัจจะ ๒ นอกนี้ ก็เป็นเหมือนเหยียดมือจับภัคคพรหม เหยียดเท้าไปต้องอเวจีนรก
และเป็นเหมือนเอา
ปลายขนทราย กับปลายขนทรายที่แยกออก ๗ ส่วนให้จดติดกัน สัจจะ ๒ เบื้องปลายเหล่านั้น
ชื่อว่าเห็นได้ยาก
เพราะลึกซึ้ง ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นี้ ความรู้ในทุกข์ดังนี้เป็นต้น
ทรงหมายถึงความเกิด
ญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้น ในสัจจะ ๔ ที่ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยาก และที่ชื่อว่าเห็นได้ยาก
เพราะลึกซึ้ง ด้วย
อำนาจการกำหนดเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้ ส่วนในขณะแทงตลอด ญาณ ( ปฏิเวธญาณ ) นั้นก็มีหนึ่งเท่านั้น
สัมมาสังกัปปะ
- ความดำริมีความดำริออกจากกามเป็นต้น ต่างกันในเบื้องต้น
เพราะสัญญาในอันงดเว้นจากามพยาบาท
และวิหิงสาต่างกัน แต่ในขณะมรรคความดำริฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์มรรคบริบูรณ์
โดยให้สำเร็จ
ความไม่เกิดแห่งความดำริฝ่ายอกุศล ที่เกิดแล้วในฐาน ๓ ( ความพอใจในกาม,ความพยาบาท,ความเบียดเบียน
)
เหล่านี้ เพราะตัดทางแห่งความดำริฝ่ายอกุศลนั้นได้ขาด นี้ชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา
- แม้กุศลธรรมมีเจตนางดเว้น ( วิรตีเจตสิก
) จากมุสาวาทเป็นต้น ก็ต่างกันในเบื้องต้น เพราะสัญญาใน
การงดเว้นจากมุสาวาทเป็นต้นต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรคเจตนางดเว้นซึ่งเป็นฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น
เกิดขึ้นให้
องค์มรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จความไม่เกิดแห่งเจตนาเครื่องทุศีลฝ่ายอกุศลที่เกิดแล้ว
ในฐานะ ๔ ( การกล่าวเท็จ,
การกล่าวส่อเสียด,การกล่าวหยาบคาย,การพูดเพ้อเจ้อ ) เหล่านี้ เพราะตัดทางแห่งเจตนาเครื่องทุศีลฝ่ายอกุศล
นั้นได้ขาด นี้ชื่อว่า สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ
- แม้กุศลธรรม มีเจตนางดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น
ก็ต่างกันในเบื้องต้น เพราะสัญญาในการงดเว้นจาก
ปาณาติบาตเป็นต้นต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรค เจตนางดเว้นซึ่งเป็นฝ่ายกุศล อันเดียวเท่านั้น
เกิดขึ้นให้องค์
แห่งมรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จความไม่เกิด แห่งเจตนาเครื่องทุศีลฝ่ายอกุศลที่เกิดแล้วในฐานะ
๓ ( การฆ่าสัตว์ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้
ความประพฤติผิดในกาม ) เหล่านี้ เพราะตัดทางได้ขาด นี้ชื่อว่า สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ
- คำว่า มิจฉาอาชีวะ ได้แก่กายทุจริตและวจีทุจริต
ที่เป็นไปเพื่อต้องการของเคี้ยวของกินเป็นต้น คำว่า ละ
คือเว้น คำว่า ด้วยสัมมาอาชีวะ
คือด้วยอาชีพที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ คำว่า สำเร็จชีวิต คือดำเนินการ
เลี้ยงชีพ ที่ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ ต่างกันในเบื้องต้น เพราะสัญญาในการงดเว้นจากทุจริตมีมุสาวาทเป็นต้น
ต่างกัน
แต่ในขณะแห่งมรรคเจตนางดเว้นฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์โดยให้สำเร็จความ
ไม่เกิดแห่งเจตนาเครื่องทุศีล อันเป็นมิจฉาอาชีวะ ที่เกิดแล้วในฐานะเจ็ด ( กายทุจริต
๓ วจีทุจริต ๔ ) เหล่านี้
แหละ เพราะตัดทางได้ขาด นี้ชื่อว่า สัมมาอาชีวะ
สัมมาวายามะ
- คำว่า ที่ยังไม่เกิด คือที่ยังไม่เกิดแก่ตนในภพหนึ่ง
หรือในอารมณ์เห็นปานนั้น แต่พระโยคาวจรเห็นบาป
อกุศลธรรม ที่กำลังเกิดแก่คนอื่น ย่อมยังฉันทะให้เกิด ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้
เพื่อไม่ให้เกิดบาปอกุศล
ที่ยังไม่เกิด ด้วยคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ บาปอกุศลธรรม เห็นปานนั้น ไม่พึงเกิดแก่เราดังนี้
คำว่า ฉนฺทํ ชเนติ
ย่อมยังฉันทะให้เกิด คือ ให้เกิดความพอใจในความเพียรที่ให้สำเร็จข้อปฏิบัติอันไม่ให้เกิดบาปอกุศลเหล่านั้น
คำว่า วายมติ พยายาม คือ ทำความพยายาม คำว่า วิริยํ อารภติ ปรารภความเพียร
คือดำเนินความเพียร คำว่า
จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ประคองจิตคือ ทำการประคองจิตด้วยความเพียร คำว่า ปทหติ
ตั้งไว้ คือดำเนินการตั้งความ
เพียรว่า จะเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามทีเถิด ดังนี้ คำว่า อุปฺปนฺนานํ
ที่เกิดแล้ว คือที่เกิดแล้วแก่ตน โดยการ
กำเริบขึ้น ย่อมให้เกิดฉันทะ เพื่อละบาปอกุศล เหล่านั้นว่า บัดนี้เราจักไม่ให้บาปอกุศลเช่นนั้นเกิดขึ้นละ
คำว่า
อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ กุศลที่ยังไม่เกิด คือ กุศลธรรมมีปฐมฌานเป็นต้น
ที่ตนยังไม่ได้ คำว่า อุปฺปนฺนานํ ที่เกิดแล้ว
คือกุศลธรรมเหล่านั้นนั่นแหละที่ตนได้แล้ว คำว่า ฐิติยา เพื่อตั้งมั่น
คือ เพื่อตั้งอยู่โดยการเกิดต่อเนื่องกันบ่อยๆ
คำว่า อสมฺโมสาย เพื่อไม่ขาดสาย คือเพื่อไม่ให้สูญเสีย คำว่า ภิยฺโยภาวาย
เพื่อมียิ่งๆ คือ เพื่อเจริญยิ่งขึ้นไป
คำว่า เวปุลฺลาย คื่อเพื่อความไพบูล คำว่า ภาวนาย ปาริปูริยา คือเพื่อความมีบริบูรณ์ แม้สัมมาวายามะนี้ก็ต่าง
กันในเบื้องต้น เพราะจิตที่คิดไม่ให้เกิดอกุศลที่ยังไม่เกิดเป็นต้นต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรค
วิริยะฝ่ายกุศลอันเดียว
เท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จกิจ ในฐานะ ๔ ( เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่ยังไม่เกิด
ไม่ให้เกิดขึ้น เพื่อจะละอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น
เพื่อความ
เจริญยิ่งเพื่อความไพบูลย์มีขึ้นเต็มเปี่ยมแห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ) เหล่านี้เหมือนกัน
นี้ชื่อว่า สัมมาวายามะ
สัมมาสติ
- แม้สัมมาสติ ก็ต่างกันในเบื้องต้น
เพราะจิตที่กำหนดอารมณ์มีกายเป็นต้นต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรค
สติอย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จกิจในฐานะ
๔ ( ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เนืองๆ อยู่ )
นี้ชื่อว่า สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ
- ฌานทั้งหลาย ต่างกัน ทั้งในเบื้องต้น ทั้งในขณะแห่งมรรค
ในเบื้องต้นต่างกันโดยสมาบัติ ในขณะแห่งมรรค
ต่างกัน โดยมรรค จริงอยู่ มรรคที่
๑ ( โสดาปัตติมรรค ) แห่งมรรคขณะหนึ่ง มีปฐมฌานเป็นบาท
แม้มรรคที่ ๒
( สกทาคามิมรรค ) เป็นต้น มีปฐมฌานเป็นบาทบ้าง มีฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในทุติยฌานเป็นต้น
เป็นบาทบ้าง
มรรคที่ ๑ ( โสดาปัตติมรรค ) แห่งมรรคขณะแม้อันหนึ่งมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้นเป็นบาท
แม้มรรคที่ ๒ ( สกทาคามิมรรค ) เป็นต้น ก็มีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้น
เป็นบาทบ้าง มีปฐมฌาน
เป็นบาทบ้างมรรคทั้ง ๔ ว่าโดยฌานเหมือนกันก็มี ต่างกันก็มี เหมือนกันบางแห่งก็มี
ด้วยประการฉะนี้ นี้เป็น
ความแผกกันแห่งมรรคนั้น โดยกำหนดฌานที่เป็นบาท พึงทราบอธิบายโดยกำหนดด้วยฌานเป็นบาทก่อน
มรรคที่เกิดแก่พระโยคาวจรผู้ได้ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาน เจริญวิปัสสนาอยู่ชื่อว่ามีปฐมฌานเป็นบาท
ก็องค์แห่งมรรคและโพชฌงค์ ย่อมบริบูรณ์ในปฐมฌานนี้โดยแท้ มรรคที่เกิดแก่พระโยคาวจรผู้ได้ทุติยฌาน
ออกจาก
ทุติยฌานเจริญวิปัสสนาอยู่ ชื่อว่ามีทุติยฌานเป็นบาท ส่วนองค์มรรคในทุติยฌานนี้
มี ๗ ประการ มรรคที่
เกิดแก่พระโยคาวจรผู้ออกจากตติยฌานแล้วเจริญวิปัสสนาอยู่ ชื่อว่ามีตติยฌานเป็นบาท
ส่วนองค์มรรคใน
ตติยฌานนี้มี ๗ แต่โพชฌงค์มี ๖ ประการ สำหรับพระโยคาวจรผู้ออกจากจตุตถฌาน จนถึง
เนวสัญญานาสัญญายตนะก็นัยนี้เหมือนกันฌานหมวด ๔ และหมวด ๕ ย่อมเกิดในอรูป และฌานนั้นท่านกล่าวว่า
เป็นโลกุตตระ ไม่ใช่โลกิยะ ถามว่าในฌานมีปฐมฌานเป็นต้นนี้เป็นอย่างไร ตอบว่า
ในฌานมีปฐมฌานเป็นต้นแม้นี้
พระโยคาวจรนั้น ออกจากฌานใดแล้ว ได้โสดาปัตติมรรค เจริญอรูปสมาบัติแล้วเกิดในอรูปภพ
มรรคทั้ง ๓
มีฌานเป็นบาทเกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรนั้น ในอรูปภพนั้น ท่านกำหนดมรรคที่มีฌานเป็นบาทอย่างเดียว
ด้วยประการฉะนี้ แต่พระเถระบางเหล่ากล่าวว่า กำหนดขันธ์ ( ๕ ) เป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนา
บางเหล่าก็ว่ากำหนด
อัทธยาศัยบุคคล บางเหล่าก็ว่ากำหนดวิปัสสนา อันเป็นวุฏฐานคามินี วินิจฉัยวาทะของพระเถระเหล่านั้น
พึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้ ในอธิการว่าด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา
คัมภีร์วิสุทธิมรรค คำว่า อยํ วุจฺจติ
ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ความว่าธรรมนี้
เบื้องต้นเป็นโลกิยะ เบื้องหลัง
เรียกว่า โลกุตตระ สัมมาสมาธิ
- คำว่า อิติ อชฺญตฺตํ วา หรือภายในเป็นต้น ความว่า
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย เพราะกำหนดสัจจะ
๔ ของตน ของคนอื่น เพราะกำหนดสัจจะ ๔ ของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาลอย่างนี้อยู่
ส่วนความเกิดและ
ความเสื่อมในสัจจบรรพนี้ พึงทราบโดยความเกิดและความดับไปแห่งสัจจะ ๔ ตามเป็นจริง
- คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่าธรรมมีอยู่ ความว่า
สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า ธรรมแลมีอยู่
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์ ท่านอธิบายว่า
สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อ
ประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ
ขึ้นไป และประมาณ
แห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า ไม่ถูก
กิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ
ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
สติกำหนดสัจจะ ๔ เป็นอริยสัจ
๔
- ในสัจจบรรพนี้ สติอันกำหนดสัจจะ ๔ เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติกำหนด
สัจจะ ๔ เป็นอารมณ์นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง
เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคอัน
กำหนดทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธเป็นอารมณ์เป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายโดยทางสัจจะ
๔ อย่างนี้
ย่อมบรรลุนิพพานดับทุกข์ได้แล นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดสติกำหนด
สัจจะ ๔ เป็นอารมณ์ อย่างนี้แล
จบ สัจจบรรพ
จบ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน