พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 290 หน้า 223-225 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
ธัมมานุปัสสนา
นีวรณบรรพ
- [ ๒๙0 ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือ นิวรณ์ ๕ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกามฉันท์ ( ความพอใจติดใจในกามคุณอารมณ์ อันมี รูป
เสียง กลิ่น รส และการสัมผัส
ถูกต้อง ) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อกามฉันท์ไม่มี
ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่ากามฉันท์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่กามฉันท์อันยังไม่เกิดขึ้น
ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ประการนั้นด้วย อนึ่ง ความละกามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด
ย่อมรู้ประการนั้นด้วย อนึ่ง
ความที่กามฉันท์อันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่อพยาบาท ( ความมุ่งจะปองร้ายผู้อื่น
) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาท มีอยู่ ณ ภายใน
จิตของเรา หรือเมื่อพยาบาทไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทไม่มี ณ ภายในจิตของเรา
ความที่พยาบาทอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ความละพยาบาทที่เกิด
ขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความที่พยาบาทอันตนละเสียแล้ว
ไม่เกิดขึ้นต่อไป
ได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่อถีนมิทธะ ( ความหดหู่
ความท้อถอยไม่ใส่ใจเป็นอันดีต่ออารมณ์ ) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า
ถีนมิทธะ มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อถีนมิทธะไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า
ถีนมิทธะไม่มี ณ
ภายในจิตของเรา ความที่ถีนมิทธะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ความละ
ถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความที่ถีนมิทธะอันตนละเสียแล้ว
ไม่เกิดขึ้น
ต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะ (
ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะ
มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่ออุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า
อุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ
ภายในจิตของเรา ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ความละอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอัน
ตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
- อนึ่ง เมื่อวิจิกิจฉา ( ความสงสัยลังเลไม่แน่ใจ
) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉามีอยู่ ณ ภายใน
จิตของเรา หรือเมื่อวิจิกิจฉาไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉาไม่มี
ณ ภายในจิตของเรา ความที่วิจิกิจฉา
อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความละวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วย
ประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความที่วิจิกิจฉาอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด
ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
- ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง
ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้
แต่เพียง สักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
คือนิวรณ์ ๕ อย่างนี้แล
จบข้อกำหนดนิวรณ์
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 316-326 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
- พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
๑๖ วิธี อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสธัมมานุปัสสนา
๕ วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธัมมานุปัสสนา เป็นอย่างไรเล่าเป็นต้น
- อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการกำหนดรูปกัมมัฏฐานล้วนด้วยกายานุปัสสนา
ตรัสกำหนดอรูป
กัมมัฏฐานล้วนๆ ด้วยเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนา บัดนี้ เพื่อจะตรัสการกำหนดรูปกัมมัฏฐานกับอรูป
กัมมัฏฐานผสมกัน จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธัมมานุปัสสนา
เป็นอย่างไรเล่าเป็นต้น
- อนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสการกำหนดรูปขันธ์ด้วยกายานุปัสสนา
ตรัสการกำหนดเวทนาขันธ์ด้วยเวทนา
นุปัสสนา ตรัสการกำหนดวิญญาณขันธ์ด้วยจิตตานุปัสสนา บัดนี้ เพื่อจะตรัสแม้การกำหนดสัญญาขันธ์
และสังขารขันธ์ จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธัมมานุปัสสนา
เป็นอย่างไรเล่าเป็นต้น
นีวรณบรรพ
- บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตํ
มีอยู่ คืออยู่พร้อมด้วยอำนาจฟุ้งขึ้นเนืองๆ บทว่า อสนฺตํ ไม่มีอยู่คือไม่มี
อยู่พร้อม เพราะไม่ฟุ้งขึ้น หรือเพราะละได้แล้ว บทว่า ก็โดยประการใด ความว่า
กามฉันท์เกิดขึ้น เพราะเหตุใด
บทว่า ตญฺจ ปชานาติ ก็รู้ชัดประการนั้น คือรู้ชัดเหตุนั้น ทุกๆ บท พึงทราบความโดยนัยนี้นี่แล
เหตุเกิดกามฉันท์
- ในนิมิตทั้งสองนั้น กามฉันท์ย่อมเกิดขึ้นเพราะมนสิการโดยไม่แยบคาย
ในสุภนิมิต สิ่งที่งามก็ดี อารมณ์ที่งาม
ก็ดี ชื่อว่าสุภนิมิต การใส่ใจโดยไม่มีอุบาย การใส่ใจนอกทาง การใส่ใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า
เที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์
ว่าสุข ในสิ่งที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ชื่อว่า อโยนิโสมนสิการ
( การใส่ใจโดยไม่แยบคาย )
เมื่อภิกษุทำอโยนสิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ในสุภนิมิตนั้น กามฉันท์ย่อมเกิดขึ้น
เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ ( ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สุภนิมิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่ง
อโยนิโสมนสิการในสุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหาร เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกามฉันท์ที่ยังไม่เกิด
หรือเพื่อทำให้กามฉันท์
ที่เกิดแล้วให้กำเริบยิ่งขึ้นดั่งนี้
เหตุละกามฉันท์
- ส่วนกามฉันท์นั้น จะละได้ด้วยการโยนิโสมนสิการ
( การใส่ใจโดยแยบคาย ) ในอสุภนิมิต สิ่งที่ไม่งามก็ดี
อามรณ์ที่ไม่งามก็ดี ชื่อว่า อสุภนิมิต การใส่ใจโดยอุบาย การใส่ใจถูกทาง การใส่ใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง
ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าไม่ใช่ตัวตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม
ชื่อว่า โยนิโสมนสิการ
เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ในอสุภนิมิตนั้น ย่อมละกามฉันท์เสียได้
เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ ( ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อสุภนิมิตมีอยู่ การทำให้มากๆ
ซึ่งโยนิโสมนสิการในอสุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหาร เพื่อความไม่เกิดแห่งกามฉันท์ที่ยังไม่เกิด
หรือเพื่อละกามฉันท์
ที่เกิดแล้ว
ธรรมสำหรับละกามฉันท์
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันท์
คือ
- ๑. การถืออสุภนิมิตเป็นอารมณ์
- ๒. การประกอบเนืองๆ ซึ่งอสุภภาวนา
- ๓. การรักษาทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
- ๔. ความรู้จักประมาณในโภชนะ
- ๕. ความมีกัลยาณมิตร
- ๖. พูดแต่เรื่องที่เป็นสัปปายะ
( เป็นที่สบาย )
- จริงอยู่ เมื่อภิกษุกำหนดอสุภนิมิต
๑0 อย่างอยู่ ก็ละกามฉันท์ได้ เมื่อเจริญอสุภ ๑0 ก็ดี เมื่อปิดทวารใน
อินทรีย์ทั้งหลายก็ดี รู้จักประมาณในโภชนะ เพื่อเมื่อมีโอกาสจะบริโภค ๔-๕ คำมีอยู่
ก็ดื่มน้ำ ยังร่างกาย
ให้เป็นไปได้ ก็ย่อมละกามฉันท์ได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ ( ในขุททกนิกาย
เถรคาถา ) ว่า
- จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป อภุตฺวา
ปิเว
- อลํ ผาสุวิหาราย ปหิตตฺตสฺส
ภิกฺขุโน
- ภิกษุพึงเว้นคำข้าวเสีย ๔-๕
คำ เลิกฉัน แล้วดื่มน้ำเสีย นี้เป็นข้อปฏิบัติอันสมควรสำหรับ
ภิกษุผู้มีตนอันส่งไปแล้ว ( คือไม่อาลัยในร่างกายและชีวิต )
- แม้ภิกษุผู้เสพกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นผู้ยินดี
ในการเจริญอสุภ เช่น พระติสสเถระ ผู้เจริญอสุภกัมมัฏฐาน
ย่อมละกามฉันท์ได้ แม้ด้วยการเจรจาปรารภเรื่องที่สบาย อันอาศัยอสุภ ๑0 ในอิริยาบถยืนและนั่งเป็นต้น
ก็ย่อมละกามฉันท์ได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันท์ดังนี้
ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็กามฉันท์ที่ละได้แล้ว ด้วยธรรม ๖ ประการนี้ ย่อมไม่เกิดอีกต่อไปด้วยอรหัตมรรค
เหตุเกิดพยาบาท
- ส่วนพยาบาท ย่อมเกิด เพราะอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิต
ปฏิฆะ ( ความขุ่นใจ ) ก็ดี อารมณ์อันช่วยให้เกิด
ปฏิฆะก็ดี ชื่อว่า ปฏิฆนิมิต ในคำว่า ปฏิฆนิมิต เป็นต้นนั้น อโยนิโสมนสิการ มีลักษณะเป็นอย่างเดียวกัน
ในธรรมทั้งปวง เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ใน ( ปฏิฆะ ) นิมิตนั้น
พยาบาทย่อมเกิด เพราะ
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ ( ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ปฏิฆนิมิตมีอยู่
การไม่ทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ ในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งพยาบาทที่ยังไม่เกิด
หรือเพื่อทำให้พยาบาทที่เกิดแล้ว กำเริบเสิบสานขึ้นดังนี้
เหตุละพยาบาท
- แต่พยาบาทนั้น จะละได้ก็ด้วยการใส่ใจโดยแยบคาย
ในเมตตาเจโตวิมุตติ ในคำว่า เมตตาเจโตวิมุตตินั้น
เมื่อพูดกันถึงเมตตา ย่อมควรทั้งอัปปนาทั้งอุปจาระ บทว่า เมตตาเจโตวิมุตติ
ได้แก่อัปปนาโยนิโสมนสิการมี
ลักษณะดังกล่าวแล้ว เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น
ย่อมละพยาบาทได้ เพราะ
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ ( สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมตตาเจโต
วิมุตติมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งพยาบาท
ที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละพยาบาทที่เกิดแล้วดังนี้
ธรรมสำหรับละพยาบาท
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการย่อมเป็นไป
เพื่อละพยาบาท คือ
- ๑. การกำหนดนิมิตในเมตตาเป็นอารมณ์
- ๒. การประกอบเนืองๆ ซึ่งเมตตาภาวนา
- ๓. การพิจารณาถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ
ตน
- ๔. การทำให้มากซึ่งการพิจารณา
- ๕. ความมีกัลยาณมิตร
- ๖. การพูดแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย
- จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุกำหนดเมตตากัมมัฏฐาน
ด้วยการแผ่เมตตาไปทั่วทิศโดยเจาะจงหรือไม่เจาะจงอย่างใด
อย่างหนึ่ง ย่อมละพยาบาทได้ เมื่อภิกษุเจริญเมตตา โดยแผ่ไปทั่วทิศโดยเจาะจง ไม่เจาะจงก็ดี
เมื่อพิจารณา
ถึงความที่ตนและคนอื่นมีกรรมเป็นของๆ ตนอย่างนี้ว่า ท่านโกรธคนนั้น จะทำอะไรเขาได้
ท่านอาจจักทำ
ศีลเป็นต้นของเขาให้พินาศได้หรือ ท่านมาแล้วด้วยกรรมของตน จักไปด้วยกรรมของตนนั่นแล
ขึ้นชื่อว่า
การโกรธผู้อื่น ก็เป็นเช่นเดียวกับผู้ปรารถนาจะจับถ่านไฟที่คุโชน ซี่เหล็กอันร้อนจัดและอุจจาระเป็นต้น
ประหาร
ผู้อื่นฉะนั้น หรือถึงคนนั้นโกรธท่าน จักทำอะไรได้ เขาจักอาจทำศีลเป็นต้นของท่านให้พินาศได้หรือ
เขามาด้วย
กรรมของตนก็จักไปตามกรรมของเขานั่นแหละ ความโกรธนั้นจักตกลงบนกระหม่อมของเขานั่นเอง
เหมือน
ประหารผู้ไม่ประหารตอบ และเหมือนนำธุลีซัดไปในที่ทวนลมฉะนั้นดังนี้ก็ดี เมื่อพิจารณากัมมัสสกตาทั้งสอง
หยุดอยู่ในการพิจารณาก็ดี คบกัลยาณมิตรผู้ยินดีในการเจริญเมตตา เช่นท่านพระอัสสคุตตเถระก็ดี
ย่อมละ
พยาบาทได้ แม้ด้วยการเจรจาเรื่องที่เป็นที่สบายซึ่งอาศัยเมตตา ในอิริยาบถทั้งหลายมียืน
นั่ง เป็นต้น ก็ละ
พยาบาทได้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละพยาบาทดังนี้
ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า
ก็พยาบาทที่ละได้แล้วด้วยธรรม ๖ ประการนี้ ย่อมไม่เกิดต่อไปด้วยอนาคามิมรรค (
เพราะอนาคามิมรรค
ปหาน โทสะเจตสิก หรือ พยาปาทะนิวรณ์ได้เป็นสมุจเฉท )
เหตุเกิดถีนมิทธะ
- ถีนมิทธะ ย่อมเกิดด้วยอโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลาย
มี อรติ ( ความขึ้งเคียด, ความไม่ยินดีด้วย,
ความริษยา ) เป็นต้น ความไม่ยินดีด้วยกับเขา ( ริษยา ) ชื่อว่า อรติ ความคร้านกายชื่อว่า
ตันที ความ
บิดกาย ( บิดขี้เกียจ ) ชื่อว่า วิชัมภิตา ความึนเพราะอาหาร ความกระวนกระวายเพราะอาหารชื่อว่า
ภัตตสัมมทะ อาการ คือ ความย่อหย่อนแห่งจิต ชื่อว่าความย่อหย่อนแห่งจิต
เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการ
ให้เป็นไปมากๆ ในอรติ เป็นต้นนี้ ถีนมิทธะย่อมเกิด เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้
( ในสังยุตต
นิกาย มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความคร้านกาย ความบิดกาย
ความเมาอาหาร
ความหดหู่แห่งจิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านี้ นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่ง
ถีนมทิธะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำถีนมิทธะที่เกิดแล้วให้กำเริบเสิบสานยิ่งขึ้นดังนี้
เหตุละถีนมิทธะ
- แต่ถีนมิทธะ จะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลายมีอารภธาตุเป็นต้น
ความเพียรเริ่มแรก ชื่อว่า
อารภธาตุ ความเพียรที่มีกำลังกว่าอารภธาตุนั้น เพราะออกไปพ้นจากความเกียจคร้านแล้ว
ชื่อว่านิกกมธาตุ
ความเพียรที่มีกำลังยิ่งกว่านิกกมธาตุแม้นั้น เพราะล่วงฐานอื่นๆ ชื่อว่า
ปรักกมธาตุ ( ก้าวไปข้างหน้า ,
บากบั่น ) เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในความเพียร ๓ ประการนี้ ย่อมละถีนมิทธะได้
เพราะ
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ ( ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธาตุคือความ
เริ่มความเพียร ธาตุคือความออกพ้นไปจากความเกียจคร้าน ธาตุคือความก้าวไปข้างหน้ามีอยู่
การทำให้
มากซึ่งโยนิโสมนสิการ ในธาตุเหล่านั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด
หรือเพื่อละ
ถีนมิทธะที่เกิดแล้ว ดังนี้
ธรรมสำหรับละถีนมิทธะ
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ
คือ
- ๑. การกำหนดนิมิตในโภชนะส่วนเกิน
- ๒. การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ
- ๓. การใส่ใจในอาโลกสัญญา ( การใส่ใจในแสงสว่าง
ในแสงไฟ หรือ แสงจันทร์เป็นต้น )
- ๔. การอยู่กลางแจ้ง
- ๕. ความมีกัลยาณมิตร
- ๖. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย
- เพราะว่า เมื่อภิกษุบริโภคโภชนะ
เหมือนพราหมณ์ที่ชื่ออาหารหัตถกะ ที่ชื่อ ตัตรวัฏฏกะ ที่ชื่อ
อลังสาฎกะ ที่ชื่อกากมาสกะ และที่ชื่อภุตตสวมิตกะ *
นั่งในที่พักกลางคืน และ ที่พักกลางวัน กระทำ
สมณะธรรมอยู่ ถีนมิทธะย่อมมาท่วมทับได้เหมือนช้างใหญ่ แต่ถีนมิทธะนั้นจะไม่มีแก่ภิกษุที่เว้นโอกาส
บริโภค ๔-๕ คำก่อนจะอิ่ม แล้วดื่มน้ำยังร่างกายให้เป็นไปเป็นปกติ เพราะเหตุนั้น
เมื่อภิกษุกำหนดนิมิต
ในโภชนะส่วนเกินอย่างนี้ ย่อมละถีนมิทธะได้ เมื่อภิกษุเข้าสู่ถีนมิทธะในอิริยาบถใด
เปลี่ยนอิริยาบถ
เป็นอย่างอื่น จากอิริยาบถนั้นเสียก็ละถีนมิทธะได้ เมื่อภิกษุใส่ใจแสงจันทร์
แสงประทีป แสงคบเพลิง ในเวลา
กลางคืน แสงอาทิตย์ในเวลากลางวันก็ดี อยู่ในที่กลางแจ้งก็ดี เสพกัลยาณมิตร ผู้ละถีนมิทธะได้เช่นพระ
มหากัสสปะเถระก็ดี ก็ละถีนมิทธะได้ แม้ด้วยการเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย ที่อาศัยธุดงค์ในอิริยาบททั้งหลาย
มียืน นั่งเป็นต้น ก็ละถีนมิทธะได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ
ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะที่ละได้ด้วยธรรม ๖ ประการ จะไม่เกิดต่อไปด้วยอรหัตมรรค
( เพราะอรหัตมรรค
ปหาน ถีนะเจตสิก และมิทธะเจตสิก หรือ ถีนมิทธะนิวรณ์ได้เป็นสมุจเฉท ) ดังนี้
เหตุเกิดอุทธัจจกุกกุจจะ
- อุทธัจจกุกกุจจะ ย่อมเกิดด้วยอโยนิโสมนสิการ
ในความไม่สงบแห่งใจ อาการไม่สงบ ชื่อว่าความไม่สงบ
คำนี้โดยอรรถก็คือ อุทธัจจกุกกุจจะนั่นเอง เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ
ในความไม่สงบ
แห่งใจนั้นอุทธัจจกุกกุจจะย่อมเกิด เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้
( ใน สังยุตตนิกาย มหาวาร
วรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบแห่งใจมีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ
ในความไม่สงบ
แห่งใจนั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดแล้ว
ให้กำเริบเสิบสานยิ่งขึ้นดังนี้
เหตุละอุทธัจจกุกกุจจะ
- แต่อุทธัจจกุกกุจจะนั้น จะละได้ก็ด้วยโยนิโสมนสิการในความสงบแห่งใจ
กล่าวคือ สมาธิ เพราะฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ ( ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความสงบแห่ง
ใจมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ ในความสงบแห่งใจนั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งอุทธัจจะ
กุกกุจจะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดแล้วดังนี้
ธรรมสำหรับละอุทธัจจกุกกุจจะ
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะคือ
- ๑. ความสดับมาก
- ๒. ความสอบถาม
- ๓. ความชำนาญในวินัย
- ๔. ความคบผู้เจริญ
- ๕. ความมีกัลยาณมิตร
- ๖. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย
- จริงอยู่ เมื่อภิกษุแม้ร่ำเรียน
ทั้งบาลี ทั้งอรรถกถานิกายหนึ่ง สอง-สาม-สี่ นิกาย หรือ ๕ นิกาย ย่อมละอุทธัจจะ
กุกกุจจะได้ แม้ด้วยความเป็นพหูสูต ( พาหุสัจจะ ความเป็นผู้สดับมาก ) ภิกษุผู้มากด้วยการสอบถามสิ่งที่ควร
และไม่ควรก็ดี ผู้ชำนาญ เพราะมีความชำนาญอันสั่งสมไว้ในวินัยบัญญัติก็ดี ผู้เข้าหาพระเถระผู้แก่
ผู้เฒ่าก็ดี
คบกัลยาณมิตรผู้ทรงวินัย เช่น ท่านพระอุบาลีเถระก็ดี ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้
แม้ด้วยการเจรจา แต่เรื่องที่
เป็นที่สบาย อันอาศัยสิ่งที่ควร และไม่ควร ในอิริยาบถทั้งหลาย มี ยืน นั่ง เป็นต้น
ก็ละอุทธัจจกุกกุจจะได้
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ
ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า
เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะละได้แล้วด้วยธรรม ๖ ประการนี้ อุทธัจจะ จะไม่เกิดต่อไปด้วย
อรหัตมรรค ( เพราะอรหัต
มรรค ปหาน โมหะเจตสิก และเจตสิกที่ประกอบร่วมด้วยคือ อุทธัจจเจตสิก หรือ อุทธัจจนิวรณ์ได้เป็นสมุจเฉท
)
กุกกุจจะ ไม่เกิดต่อไปด้วย อนาคามิมรรค ( เพราะอนาคามิมรรคปหาน โทสะเจตสิก และเจตสิกที่ประกอบร่วม
ด้วยคือ กุกกุจจเจตสิก หรือ กุกกุจจนิวรณ์ได้เป็นสมุจเฉท )
เหตุเกิดวิจิกิจฉา
- วิจิกิจฉา ย่อมเกิดได้ด้วยอโยนิโสมนสิการ
ในธรรมทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา ความเคลือบแคลง
เพราะเป็นเหตุแห่งความสงสัยบ่อยๆ ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ
ในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉานั้น วิจิกิจฉาย่อมเกิด เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้
( ในสังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรม
เป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉานั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดหรือเพื่อทำวิจิกิจฉาที่เกิดแล้ว
ให้กำเริบเสิบสานยิ่งขึ้นดังนี้
เหตุละวิจิกิจฉา
- แต่วิจิกิจฉานั้น จะละได้ก็ด้วยโยนิโสมนสิการในธรรมมีกุศลเป็นต้น
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสไว้ ( ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นกุศล
อกุศล ธรรมที่มีโทษ
ไม่มีโทษ ธรรมที่ควรเสพ ไม่ควรเสพ ธรรมที่ทราม ธรรมที่ประณีต ธรรมที่เทียบด้วยของดำ
ธรรมที่เทียบ
ด้วยของขาว มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งวิจิกิจฉา
ที่ยังไม่เกิด หรือ เพื่อละวิจิกิจฉาที่เกิดแล้วดังนี้
ธรรมสำหรับละวิจิกิจฉา
- อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา
คือ
- ๑. ความสดับมาก
- ๒. ความสอบถาม
- ๓. ความชำนาญในวินัย
- ๔. ความมากด้วยความน้อมใจเชื่อ
- ๕. ความมีกัลยาณมิตร
- ๖. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย
- จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุร่ำเรียนทั้งบาลี
ทั้งอรรถกถานิกายหนึ่ง สอง-สาม-สี่ นิกาย หรือ ๕ นิกาย ย่อมละ
วิจิกิจฉาได้ ด้วยความเป็นพหูสูต เมื่อภิกษุมากด้วยการปรารภพระรัตนตรัย สอบถามก็ดี
มีความชำนาญ
อันสั่งสมไว้ในวินัยก็ดี มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ กล่าวคือศรัทธาที่ยังความเลื่อมใสในรัตนตรัยก็ดี
คบกัลยาณมิตร เช่นท่านพระวักกลิ ผู้น้อมใจไปในศรัทธาก็ดี ย่อมละวิจิกิจฉาได้
แม้ด้วยการเจรจาแต่เรื่อง
ที่เป็นที่สบาย อันอาศัยคุณของพระรัตนตรัย ในอิริยาบถทั้งหลาย มี ยืน นั่ง เป็นต้น
ก็ละวิจิกิจฉาได้
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า
วิจิกิจฉา
ที่ละได้ด้วยธรรมเหล่านี้ ย่อไม่เกิดต่อไป ด้วยโสดาปัติมรรค ( เพราะโสดาปัติมรรคปหาน
วิจิกิจฉาเจตสิก
หรือ วิจิกิจฉานิวรณ์ได้เป็นสมุจเฉท ) ดังนี้
- คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา
หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายของตน ในธรรม
ทั้งหลายของคนอื่น หรือในธรรมทั้งหลายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาลด้วยการกำหนดนิวรณ์
๕
อย่างนี้อยู่ ก็ความเกิดและความเสื่อม ในคำว่าพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดและความเสื่อมนี้
ที่กล่าว
แล้วในนิวรณ์ ๕ ด้วยอำนาจ อโยนิโสมนสิการ และ โยนิโสมนสิการ ในสุภนิมิต และอสุภนิมิต
เป็นต้น
- คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่าธรรมมีอยู่ ความว่า
สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า ธรรมแลมีอยู่
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์ ท่านอธิบายว่า
สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อ
ประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ
ขึ้นไป และประมาณ
แห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า ไม่ถูก
กิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ
ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
สติกำหนดนีวรณ์ เป็นอริยสัจ
๔
- ในนีวรณ์บรรพนี้ สติอันกำหนดนีวรณ์ เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติกำหนด
นีวรณ์เป็นอารมณ์นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง
เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคอัน
กำหนดทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธเป็นอารมณ์เป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายโดยทางสัจจะ
๔ อย่างนี้
ย่อมบรรลุนิพพานดับทุกข์ได้แล นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดสติกำหนด
นีวรณ์เป็นอารมณ์ อย่างนี้แล
จบนีวรณบรรพ