พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 288 หน้า 221-222 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
เวทนานุปัสสนา
- [ ๒๘๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนา ( ความเสวยอารมณ์ ) ในเวทนา
เนืองๆ อยู่
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนา เมื่อเสวยทุกข
เวทนา ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนา เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ( ไม่สุข
ไม่ทุกข์ คือ อุเบกขาเวทนา )
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา หรือเมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิส ( คือเจือกามคุณ
) ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เรา
เสวยสุขเวทนามีอามิส หรือเมื่อเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส ( คือไม่เจือกามคุณ ) ก็รู้ชัดว่า
บัดนี้เราเสวยสุขเวทนา
ไม่มีอามิสหรือเมื่อเสวยทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส
หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนา
ไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส
ก็รู้ชัดว่า
บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า
บัดนี้เราเสวย
อทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ดังนี้
- ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็น เวทนาในเวทนาเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งภายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในเวทนาบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ
ความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง
ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าเวทนามีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียง
สักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลกด้วย
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ
อยู่อย่างนี้
จบเวทนานุปัสสนา
พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า 310-314 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
- พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
๑๔ วิธีอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสเวทนานุปัสสนา
๙ วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนาเป็นอย่างไรเล่า
เป็นต้น
- บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขเวทนา ความว่า
ภิกษุกำลังเสวยเวทนาที่เป็นสุข ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี
ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา จะวินิจฉัยในคำนั้น แม้เด็กทารกที่ยังนอนหงาย เมื่อเสวยสุขในคราวดื่มนมเป็นต้น
ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาก็จริงอยู่ แต่คำว่า สุขเวทนาเป็นต้นนี้ มิได้ตรัสหมายถึงความรู้ชัดอย่างนั้น
เพราะ
ความรู้ชัดเช่นนั้น ไม่ละความเห็นว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ไม่ถอนความสำคัญว่า
เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
เป็นตัวตน ไม่เป็นกัมมัฏฐานหรือสติปัฏฐานภาวนาเลย ส่วนความรู้ชัดของภิกษุนี้
ละความเห็นว่าเป็นสัตว์
เป็นบุคคล เป็นตัวตน ถอนความสำคัญ ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ ทั้งเป็นกัมมัฏฐาน
เป็นสติปัฏฐาน
ภาวนา ก็คำนี้ตรัสหมายถึงความเสวยสุขเวทนาพร้อมทั้งที่รู้ตัวอยู่ อย่างนี้ว่า
ใครเสวย ความเสวยของใคร
เสวยเพราะเหตุไร
สักว่าเวทนาไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
เรา เขา
- จะวินิจฉัยในปัญหาเหล่านั้น ถามว่า ใครเสวย
ตอบว่า มิใช่สัตว์หรือบุคคลไรๆ เสวย ถามว่า ความเสวย
ของใคร ตอบว่า มิใช่ความเสวยของสัตว์ หรือบุคคลไรๆ ถามว่า เสวยเพราะเหตุไร
ตอบว่า ก็เวทนาของ
ภิกษุนั้นมีวัตถุเป็นอารมณ์ อย่างเดียว เหตุนั้น เธอจึงรู้อย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเสวยเวทนา
เพราะทำวัตถุเป็น
ที่ตั้งแห่งเวทนา มีสุขเวทนา เป็นต้นนั้นๆ ให้เป็นอารมณ์ ก็คำว่า เราเสวยเวทนา
เป็นเพียงสมมติเรียกกัน
เพราะยึดถือความเป็นไปแห่งเวทนานั้น เธอกำหนดว่า สัตว์ทั้งหลาย เสวยเวทนาเพราะ
ทำวัตถุให้เป็นอารมณ์
อย่างนี้ พึงทราบว่า เธอย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนาเหมือนพระเถระรูปหนึ่ง
ซึ่งสำนักอยู่ที่จิตตลบรรพต
พระเถระผู้เสวยทุกขเวทนา
- ได้ยินว่า พระเถระทุรนทุราย กลิ้งเกลือกอยู่ด้วยเวทนากล้าแข็ง
คราวอาพาธไม่ผาสุก ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง
เรียนถามว่า ท่านเจ็บตรงไหนขอรับ ท่านบอกว่าบอกที่เจ็บไม่ได้ดอกเธอ ฉันทำวัตถุเป็นอารมณ์ เสวยเวทนา
ถามว่า ตั้งแต่เวลารู้ชัดอย่างนั้น ท่านอดกลั้นไว้ ไม่ควรหรือขอรับ ตอบว่า ฉันจะอดกลั้นนะเธอ
ภิกษุหนุ่ม
กล่าวว่า อดกลั้นได้ก็ดีน่ะสิ ขอรับ พระเถระก็อดกลั้น ( ทุกขเวทนา ) โรคลมก็ผ่าแล่งจนถึงหัวใจ
ไส้ของพระ
เถระก็ออกมากองบนเตียง พระเถระชี้ให้ภิกษุหนุ่มดู ถามว่า อดกลั้นขนาดนี้ควรไหม
ภิกษุหนุ่มก็นิ่ง พระเถระ
ประกอบความเพียรสม่ำเสมอ บรรลุพระอรหัตพร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลายเป็นพระอรหัตสมสีสี
( ผู้สิ้นอาสวะ
พร้อมกับสิ้นชีวิต คือ บรรลุอรหัตตผล ในขณะเดียวกับที่สิ้นชีวิต ) ปรินิพพานแล้ว
- อนึ่ง ภิกษุผู้เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น
เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนา
เมื่อเสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนา เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา
( ไม่สุข ไม่ทุกข์ คือ
อุเบกขาเวทนา) ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา หรือเมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิส
( คือเจือกามคุณ )
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนามีอามิส หรือเมื่อเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส (
คือไม่เจือกามคุณ ) ก็รู้ชัดว่า
บัดนี้เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า
บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส
หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส
หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา
มีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส
ก็รู้ชัดว่า
บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ดังนี้
เวทนาเป็นอรูปกัมมัฏฐาน
- พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสรูปกัมมัฏฐานด้วยประการฉะนี้แล้ว
เมื่อจะตรัสอรูปกัมมัฏฐาน แต่เพราะที่ตรัส
ด้วยอำนาจ ผัสสะ หรือด้วยอำนาจจิตกัมมัฏฐานไม่ปรากฏชัด ปรากฏเหมือนมืดมัว ส่วนความเกิดขึ้นแห่ง
เวทนาทั้งหลาย ปรากฏชัด กัมมัฏฐานปรากฏชัดด้วยอำนาจเวทนา ฉะนั้น จึงตรัสอรูปกัมมัฏฐาน
ด้วย
อำนาจเวทนา แม้ในพระสูตรนี้ เหมือนอย่างในสักกปัญหสูตร กถามรรค ในพระสูตรนี้นั้น
พึงทราบโดยนัย
ที่ตรัสในสักกปัญหสูตรแล้วนั่นแลว่า ก็กัมมัฏฐานมี ๒ อย่าง คือ รูปกัมมัฏฐาน
( กัมมัฏฐานที่ใช้รูปธรรมเป็น
อารมณ์ของกัมมัฏฐาน ) และอรูปกัมมัฏฐาน ( กัมมัฏฐานที่ใช้นามธรรมเป็นอารมณ์ของกัมมัฏฐาน
ในที่นี้คือ
ใช้เวทนาเป็นอารมณ์ของกัมมัฏฐาน )
- พึงทราบวินิจฉัย ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น
ในคำว่า สุขเวทนา ดังนี้เป็นต้น มีปริยาย ( ทาง ) แห่ง
ความรู้ชัดอีกอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ข้อว่า สุขํ เวทนํ เวทิยมีติ ปชานาติ
รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา ความว่า
เมื่อเสวยสุขเวทนา เพราะขณะเสวยสุขเวทนา ไม่มีทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาดังนี้
เพราะฉะนั้น
ขึ้นชื่อว่าเวทนาไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะในขณะที่ไม่มีทุกขเวทนาที่เคย
มีมาก่อน และเพราะก่อนแต่นี้ ก็ไม่มีสุขเวทนานี้ เธอรู้ตัวในสุขเวทนานั้นอย่างนี้
สมจริง ดังที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ( ในทีฆนขสูตร มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ) ดังนี้ว่า
- ดูก่อนอัคคิเวสสนะ สมัยใดเสวยสุขเวทนา
สมัยนั้น หาเสวยทุกขเวทนาไม่ หาเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่
ย่อมเสวยสุขเวทนาเท่านั้น
- สมัยใดเสวยทุกขเวทนา สมัยนั้น หาเสวยสุขเวทนาไม่
หาเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่
ย่อมเสวยทุกขเวทนาเท่านั้น
- สมัยใดเสวยอทุกขสุขเวทนา สมัยนั้น หาเสวยทุกขเวทนาไม่
หาเสวยสุขเวทนาไม่
ย่อมเสวยอทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น
- ดูก่อนอัคคิเวสนะ แม้สุขเวทนาแล ไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา
- แม้ทุกขเวทนาแล ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา
- แม้อทุกขมสุขเวทนาแล ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา
- ดูก่อนอัคคิเวสสนะ อริยสาวกสดับแล้ว
เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายแม้ในสุขเวทนา แม้ในทุกขเวทนา แม้ใน
อทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้น
ย่อมหยั่งรู้ว่า
หลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำก็ทำเสร็จแล้ว
กิจอย่างอื่นเพื่อเป็น
อย่างนี้ไม่มีอีกดังนี้
เวทนาที่เป็นสามิสและนิรามิส
- จะวินิจฉัยในข้อว่า สามิสํ วา สุขํ
หรือสุขเวทนาที่มีอามิส เป็นต้น โสมนัสเวทนาอาศัยอามิสคือกามคุณ ๕
( รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัสถูกต้องทางกาย ) ขอให้ศึกษาจากพระอภิธรรมเอาเถิด
เวทนาใน เวทนานอก
- ข้อว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน
ความว่า พิจารณาเห็น เวทนาในเวทนาทั้งหลายของตน เวทนาทั้ง
หลายของคนอื่น หรือในเวทนาทั้งหลายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดสุขเวทนาเป็นต้น
อย่างนี้อยู่ ส่วนในข้อว่า สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา พิจารณาเห็นธรรมความเกิด
( ในเวทนาทั้งหลาย ) นี้ มีวินิจฉัยว่า
ภิกษุเมื่อเห็นความเกิด และความเสื่อม แห่งเวทนาทั้งหลายด้วยอาการอย่างละ ๕ ว่า
เพราะอวิชชาเกิด จึง
เกิดเวทนาดังนี้เป็นต้น พึงทราบว่า เธอพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดในเวทนาทั้งหลายอยู่
พิจารณาเห็นธรรม
คือความเสื่อม ในเวทนาทั้งหลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรม คือคึอความเกิดในเวทนาทั้งหลาย
ตามกาลอยู่
พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมในเวทนาทั้งหลาย ตามกาลอยู่
- คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่าเวทนามีอยู่ ความว่า สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า
เวทนาแลมีอยู่
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์ ท่านอธิบายว่า
สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อ
ประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ ประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ
ขึ้นไป และประมาณ
แห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ คำว่า ไม่ถูกกิเลส
อาศัยอยู่ ความว่า ไม่ถูก
กิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่ คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ
ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานว่า นี้เป็นตัวของเรา
นี้มีในตัวของเรา
สติกำหนดเวทนา เป็นอริยสัจ ๔
- ในเวทนานุปัสสนานี้ สติอันกำหนดเวทนา เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติ
กำหนดเวทนา เป็นอารมณ์นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง
เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคอันกำหนดทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธเป็นอารมณ์เป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร
ขวนขวายโดยทางสัจจะ ๔
อย่างนี้ ย่อมบรรลุนิพพานดับทุกข์ได้แล นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต
ของภิกษุผู้กำหนดสติ
กำหนดเวทนาเป็นอารมณ์ อย่างนี้แล
จบเวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน