๑.
ฝึกให้เป็นผู้มีความคิดและทำนอกกรอบ
มีความคิดที่ไม่ยอมสยบต่อปัญหาอุปสรรคเดิมๆ หรือทำงานแบบเดิมๆ
ไปวันๆ ถามตัวเองว่ามีวิธีอย่างอื่นที่ได้ผลดีกว่าสิ่งที่เคยทำมาหรือไม่
สื่งใดไม่ควรทำ ควรเลิกทำโดยไม่ต้องรอให้ใครมาสั่ง สิ่งใดควรทำก็ควรทำให้มากขึ้น
ไม่มัวแต่บ่นว่าขาดโน่นขาดนี่ มีปัญหาสารพัด ไม่แบมือขอแต่ทรัพยากรและงบประมาณมากขึ้นทุกปีๆ
แต่ควรคิดใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร
๒.
ยกย่องสนับสนุน ส่งเสริมคนดีและมีความซื่อสัตย์
ในวงราชการไทย "มีแฟชั่นยกย่องคนมีอำนาจมากกว่าคนดี"
ซึ่งเป็นอันตราย ดังนั้นเรื่องซื่อสัตย์จำเป็นต้องย้ำ ทั้งซื่อสัตย์ต่อตนเอง
ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ ซื่อสัตย์ต่อประชาชน
แทนที่จะมัวแต่สอนให้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้านายหรือผู้มีอำนาจเท่านั้น
๓.
พัฒนาตนเองและส่งเสริมการพัฒนาคนอย่างจริงจังตลอดเวลา
ข้าราชการต้องไม่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด เก่งไปทุกเรื่องจนกลายเป็น"น้ำชาล้นถ้วย"
ต้องเป็นคนรู้จักนอบน้อมถ่อมตนและ "เปิดเครื่องรับ"ในการเรียนรู้ทุกลมหายใจ
สำหรับการพัฒนาคน เป็นเรื่องที่สำคัญ ต้องรีบวางแผนและหาทางสนับสนุนให้เป็นจริงเป็นจัง
อย่ารอหน่วยเหนือหรือให้ใครมาสั่ง เพราะจะไม่ทันการ
๔.
ใช้ปัญญาใช้เหตุผลมากกว่าอำนาจ
การทำงาน ต้องอาศัย ความรู้จริง คือมี "วิชชา"
จึงจะทำให้งานสำเร็จ และเมื่อใช้ความรู้มาก ความรู้และปัญญาจะยิ่งงอกเงย
งานก็จะได้ผล คนก็จะเป็นสุข
๕.
ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนดึงศักยภาพออกมาทำงานอย่างเต็มที่
ข้าราชการต้องช่วยกันพังทลายกฏระเบียบที่มากมายที่ทำให้คนทำงานไม่สามารถคิดริเริ่มทำอะไรใหม่ๆได้
เพื่อเปิดโอกาสให้คนได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ทำงานริเริ่มสร้างสรรค์
มีวิธีทำงานใหม่ๆที่ดีกว่าเดิม
๖.ฟังเสียงประชาชน
และสนใจผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่าผู้บังคับบัญชา
ข้าราชการล้วนแต่อ้างว่าทำงานเพื่อประชาชน พร่ำบ่นถึงความทุกข์ยากของประชาชน
แต่เอาเข้าจริงกลับทำงานในอาณาจักรของตนเอง ยึดผู้บังคับบัญชาหรือที่เรียกว่า
"เจ้านายเป็นสรณะ" ทำตัวเป็นนายเหนือประชาชนอยู่เสมอ
ข้าราชการควรเข้าใจจุดนี้และทำให้ถูกต้อง