|
|
๑๑. ถาม คำที่ว่าการปฏิบัติวิปัสสนา
เป็นการถ่ายเทความเข้าใจผิดออกจากรูปนามนั้น
อยากทราบนักว่า
บัดนี้เรากำลังมีความเข้าใจผิดอะไรในรูปนามอยู่เล่า
ตอบ
อันที่จริงความเห็นผิดที่ว่า
เราเห็น-เราได้ยิน-เรารู้กลิ่น-เราลิ้มรส-เราถูกต้อง-เราเดิน-เรายืน-เรานั่ง-เรานอน เป็นต้น
เหล่านี้แหละ
มันเป็นความเข้าใจผิดที่ลึกซึ้งเหลือเกินจนคนธรรมดารู้ไม่ได้ว่ามันเป็นความเข้าใจผิด
แต่ถ้าเราจะมาพิจารณากันด้วยเหตุผลสักหน่อยหนึ่งว่า การเห็น-ได้ยิน-รู้กลิ่น-ลิ้มรส-ถูกต้อง-เดิน-ยืน-นั่ง
และนอนเหล่านี้แหละ
มันเป็นเราที่ตรงไหน
เพียงแค่นี่ก็พอจะสังเกตเห็นได้แล้วว่า
มันเป็นความเข้าใจที่เลื่อนลอย
หาหลักอะไรไม่ได้เลยตามหลักธรรมะของพระ
ท่านว่า "เดินเป็นรูป
แม้ นั่ง-นอนก็เป็นรูป" แต่เราเป็นสาวกของพระพุทธองค์
ทำไมจึงได้ไปตู่เอารูปต่างๆเหล่านั้นมาเป็นเราเสียเล่า
เรามันเป็นลูกที่มีความเห็นผิดกับพ่อนี่
ที่จริงสมเด็จพ่อก็สอนไว้ในที่หลายต่อหลายแห่ง
เช่นในอนัตตลักขณสูตร ก็มีว่า -รูปไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา
ก็ถ้าว่ารูปนี้เป็นเราและเป็นของๆเราแล้ว
มันก็ไม่ควรที่จะเป็นไปเพื่อป่วยไข้ซิ
ควรจะเป็นไปตามความประสงค์ของเรามิใช่หรือ
แต่นี่เพราะรูปนามนี้
มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา
มันจึงได้เปลี่ยนแปลงไปเป็น
อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
บังคับบัญชาอะไรไม่ได้เลย
เมื่อเราได้พยายามเฝ้าใช้โยนิโสมนสิการคอยสังเกตดูอิริยาบถทุกๆอิริยาบถที่เปลี่ยนไป
โดยมีความรู้สึกตามไปในขณะที่จะเปลี่ยนนั้น
หนักเข้าๆก็จะรู้สึกขึ้นมาว่า
ตนเองไม่มีอำนาจอะไรในอิริยาบถแต่ละอย่างเลย
เมื่อถึงคราวที่มันจะเปลี่ยน
ก็ฝืนมันไม่ได้
ต้องยอมเปลี่ยนให้มัน
มิฉะนั้นก็จะเป็นทุกข์
ทนอยู่ไม่ได้แน่นอน
พิจารณาดูก็เหมือนกับคนไข้กับคนที่พยาบาลไข้ไม่ต่างกันเลย
คนไข้ก็มีแต่ความเจ็บเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
จะช่วยตัวเองก็ไม่ได้
จำต้องอาศัยคนที่พยาบาลคอยพยุงให้ลุก
ให้นั่ง อยู่ร่ำไป
นับเป็นความลำบากทั้งคนที่เป็นไข้
ลำบากทั้งคนที่พยาบาลไข้อย่างชนิดที่ไม่มีช่องว่างให้พักผ่อนบ้าง
ข้อนี้ฉันใด
แม้นามรูปที่ปรากฏอยู่ตามอิริยาบถก็เหมือนกับคนที่เป็นไข้
คนที่เข้าไปยึดว่ารูปนามเป็นของเราก็ต้องพยายามเปลี่ยนอิริยาบถแก้ทุกข์กันอยู่วันยังค่ำ
คืนยังรุ่งไม่มีที่สิ้นสุด
เป็นสภาพที่น่าเบื่อหน่ายอย่างเหลือประมาณ
ถ้าเราพยายามปฏิบัติไปด้วยความสังเกตที่สุขุมโดยติดต่อแล้ว
ก็จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะนอกเหนือไปจากทุกข์
ทุกข์อยู่ที่นามรูป รูปเก่า
ในอิริยาบถเก่าก็ทนอยู่ไม่ได้
ครั้นเปลี่ยนไปสู่อิริยาบถใหม่หนักเข้าก็ทนอยู่ไม่ได้อีก
ต้องเปลี่ยนกันอีก
ขั้นแรกๆจะเห็นทุกข์ในอิริยาบถเก่าก่อน
เพราะมันหยาบเห็นได้ง่ายกว่าทุกข์ในอิริยาบถใหม่
สังขารทุกข์ในอิริยาบถใหม่นั้นเป็นของละเอียดเห็นได้ยากกว่า
แต่เมื่อผู้ปฏิบัติใช้ภาวนามยปัญญาสังเกตกำหนดไปๆก็จะเกิดความรู้สึกใหม่ๆขึ้นมาว่า
แต่ก่อนเราคิดผิดว่า
การเดินเป็นต้นนี้ เป็นเรา
จึงทึกทักเอาว่า-เราเดิน-เรานั่ง-เรานอน เป็นต้น
ที่จริงแล้วอิริยาบถเดิน-ยืน-นั่ง
และนอนเป็นแต่สักว่า-ธรรมะไม่ใช่เรา
ความเข้าใจว่าเดิน-ยืน-นั่ง-นอนเป็นเรานั้น
เป็นความเห็นผิดที่เรียกว่า "มิจฉาทิฏฐิ" ต่างหาก
นี่แหละการปฏิบัติวิปัสสนา
จึงเป็นการถ่ายเทความเห็นที่ผิดๆออกไป
โดยรับเอาแต่ความเข้าใจถูกเข้าสู่จิตใจแทนที่
ความเห็นจึงเป็นวิสุทธิคือ
เป็นความเห็นที่หมดจดที่เรียกว่า
"ทิฏฐิวิสุทธิ" อันเป็นตัวปัญญาโดยตรงทีเดียว
ตรงนี้แหละนับว่าเป็นความประสงค์ในทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะทีเดียว
อนึ่งในที่ใดมีปัญญา
ในที่นั้นก็จะต้องมีศีลและสมาธิ
จะขาดเสียไม่ได้
แต่ในที่ใดมีศีล-สมาธิ
ปัญญาไม่ต้องมีก็ได้
เช่นขณะทำสมถะกรรมฐาน
ศีลและสมาธิมี
แต่ปัญญาไม่มีก็ได้
เพราะการเจริญสมถะไม่ได้มุ่งที่จะทำปัญญาให้เกิดขึ้นเพียงแต่อาศัยปัญญาคอยรักษานิมิตรแห่งกรรมฐานขณะที่ยังมิได้เกิดฌานเท่านั้น
แต่เมื่อเกิดฌานแล้วไม่จำเป็นใช้ปัญญาก็ได้ในที่ใดมีศีลในที่นั้นจะไม่มีสมาธิและปัญญาก็ได้
เช่น ในขณะที่พระ-เณรบวชอยู่
ที่จริงศีลของท่านมีอยู่แต่ท่านมิได้ทำสมาธิและเจริญปัญญาเท่านั้นแต่นั่นแหละผู้ที่หวังจะทำความเห็นให้เป็นวิสุทธิหากไม่เจริญไตรสิกขาคือศีลสมาธิและปัญญาให้เกิดพร้อมในอารมณ์เดียวกันวิสุทธิเป็นอันว่าเกิดมีขึ้นไม่ได้แน่ๆเพราะการทำงานของไตรสิกขา
ไม่ได้เป็นเอกสมังคีในอารมณ์อันเดียวกัน
ดังนั้น
ประตูที่จะทำให้เข้าถึงตัวศาสนาที่สำคัญก็อยู่ตรงที่ปฏิบัติวิปัสสนาเท่านั้น
วิปัสสนามีสติปัฏฐานเป็นเหตุผู้ที่เจริญสติปัฏฐานประเภทกายานุปัสสนาโดยเฉพาะอิริยาบถบรรพดังที่กล่าวมา
ก็เป็นวิถีทางหนึ่งที่จะนำออกจากวัฎฏทุกข์ได้แน่นอน
จึงขอให้ท่านผู้สนใจในหลักธรรมปฏิบัติพึงมนสิการตามแนว
เท่าที่ได้ยกเอาบาลีอรรถกถาฎีกา
พร้อมด้วยหลักปฏบัตมาแสดงไว้โดยย่อนี้ด้วยจะเป็นประโยชนแก่ตัวของท่านเองด้วยทั้งจะเป็นอายุของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย
หากเราไม่ทำเสียแต่ชาตินี้ในชาติต่อไปขออย่าหวังเลย
เพราะชาติหน้าต้องทำเป็นนิสัยไปตั้งแต่ชาตินี้
หากไม่ทำไว้จะไปเอานิสัยนิสัยในชาติหน้ามาจากไหนกัน
ฯ |
|
|