|
|
๑๒. ถาม การใช้สติสัมปชัญญะกำหนดอิริยาบถนั้น
หากผู้ปฏบัตไม่รู้เท่าทันถึงเหตุผลแล้วอรยาบถก็อาจเป็นปัจจัยให้เกดอภชฌาและโทมนัสได้ใช่ไหม
ตอบ ถูกแล้ว
อิริยาบถเก่าเป็นอิริยาบถที่จะหมดอายุแล้ว
จึงเกิดความปวดเมื่อยเป็นทุกขเวทนา
ถ้าไม่มนสิการให้ดีแล้ว
ก็อาจทำให้เกิดโทมนัสไม่พอใจในอนิฏฐารมณ์คือความปวดเมื่อยนั้นก็ได้
หรือขณะที่เราจะเปลี่ยนไปเป็นอิริยาบถใหม่
จะเป็นอิริยาบถใดก็ตาม
ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ใช้โยนิโสมนสิการให้ดีแล้วก็อาจอาศัยอิริยาบถใหม่ซึ่งเป็นอิฏฐารมณ์ที่น่าปรารถนานั้น
ทำให้เกิดอภิชฌาคือความพอใจในอิริยาบถใหม่ที่คิดว่าจะหายเมื่อยนั้นก็ได้
ดังนั้นการรู้เท่าทันในอิริยาบถทั้งเก่าและใหม่ให้เห็นว่าเป็นเพียงการแก้ทุกข์ไปชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
ความจริงแล้วไม่มีอิริยาบถใดดอกที่จะเป็นความสุข
ที่จริงก็เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นแหละ
แต่ที่เราคิดว่าถ้าผลัดเปลี่ยนไปเสียได้จะสบายนั้นนั่นเป็นการเข้าใจวิปลาสคลาดเคลื่อนไปต่างหาก
ก็ถ้าหากผู้ปฏิบัติได้พยายามใช้โยนิโสมนสิการกำหนดให้รู้เท่าทันอิริยาบถทุกอิริยาบถ
จนสามารถแยกความรู้สึกออกได้ว่า
การเดิน ยืน นั่ง และนอนนี้
เป็นเพียงว่ารูปธรรมเท่านั้น
แล้วแต่ละอิริยาบถก็ไม่ใช่เป็นรูปเดียวกันอีกด้วย
อย่างนี้ก็จะสามารถถอดถอนความเข้าใจผิดที่ว่า
เราเดิน เรายืน เรานั่ง และเรานอน
หมายความว่าเอาความเป็นเราออกไปเสียจากรูปได้เช่นนี้
ความเข้าใจผิดต่างๆอันเป็นตัวความเห็นผิดที่เรียกว่าสักกายทิฏฐิ ก็จะหมดไปทุกๆขณะที่ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้น
ตรงนี้แหละที่ท่านเรียกว่า ประตูที่จะนำให้เข้าถึงตัวพระพุทธศาสนา ที่แท้จริงละ
เดิมเราได้ยินแต่ครูในภายนอกสอนว่า
นามรูปไม่เที่ยง
เป็นอนิจจัง ทุกขัง
และเป็นอนัตตา แต่บัดนี้เราได้พบครูตัวจริงในภายในสอนแล้ว
หมายความว่า-นามรูปที่เรากำหนดรู้เท่าทันนั้นแหละ
มันจะแสดงความจริงให้เราได้รู้หมดทุกอย่างจนกว่าจะหมดไปจากความสงสัยในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องมีผู้วเศษคนใดมาสั่งสอนอีกแล้วปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ
วิญฺญูหิ แปลว่า-อันผู้รู้ทั้งหลายจะพึงรู้ได้เฉพาะตน-นี่แหละจงจำไว้เถิดเป็นต้นทางที่จะให้ผู้ปฏิบัติบรรลุถึงจุดที่ว่านี้ละสงสารการท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ของสัตว์ทั้งหลายจะสิ้นสุดลงได้ก็ตรงจุดนี้แหละ
ชนทั้งหลายจะปิดประตูอบายได้ก็ต้องตั้งต้นกันตรงนี้แหละ
จึงขอให้ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงโปรดมนสิการใส่ใจไว้แล้ว
ก็เสาะหาเวลาปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงจุดนี้เถิด
จะชื่อว่า- พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
แปลว่า
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ แปลว่า
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรมเจ้าว่าเป็นสรณะ สงฺฆํ
สรณํ คจฺฉามิ แปลว่า
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์เจ้าว่าเป็นสรณะ ขอจบการอธิบายอิริยาบถบรรพโดยย่อเท่านี้ |
|
|